กล่องใส่เครื่องสำอางจากบรรจุภัณฑ์แป้งผสมรองพื้น

Team : kittynuttiewaii
Member
Ms Kitsanapon Phonmontri
Ms Pornpawee Khamluang
Ms Natthaporn Promnoi
1.Market Situation
อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าประมาณ 380.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยเติบโตที่อัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ประมาณ 5.1% การเติบโตนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และความงามที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การรับรู้เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้ ถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องหันมาใช้วิธีปฏิบัติที่ยั่งยืน จากรายงานของ Nielsen ในปี 2023 พบว่า 73% ของผู้บริโภคทั่วโลก ระบุว่าพวกเขายินดีที่จะปรับพฤติกรรมการบริโภคเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โดยเฉพาะการผลักดันให้มีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทดลองโดยไม่ใช้สัตว์ และส่วนผสมจากธรรมชาติ
หลายประเทศเริ่มนำกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นมาใช้ในเรื่องการผลิตเครื่องสำอาง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์จะปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ยั่งยืนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรม เคมีสีเขียว (Green Chemistry) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มุ่งเน้นการลดหรือขจัดสารอันตรายในกระบวนการพัฒนาสูตรเครื่องสำอาง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ และบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้ซ้ำได้ ซึ่งเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดจากความกังวลเรื่องขยะที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
ในประเทศไทยอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 189.7 พันล้านบาทในปี 2022 และคาดว่าจะเติบโตที่อัตราเฉลี่ย 6-7% ต่อปี มูลค่าตลาดคาดว่าจะสูงถึง 300 พันล้านบาทภายในปี 2030 ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากความต้องการในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องสำอาง ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน
ซึ่งนอกจากคุณภาพของเครื่องสำอางแล้วลักษณะบรรจุภัณฑ์เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคในไทยส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนถึงคุณภาพ และความหรูหราของสินค้า การออกแบบที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดความสนใจได้ดี นอกจากนี้ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือสามารถรีไซเคิลได้มีแนวโน้มที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคมากกว่า บรรจุภัณฑ์ที่เป็นไปตามแนวคิด “eco-friendly” อาจทำให้ผู้บริโภคมองว่าสินค้ามีความรับผิดชอบต่อสังคม
2.เป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
Blossom Glow เกิดขึ้นจากความตั้งใจของทีมผู้สร้างที่ต้องการเติมเต็มความฝันของวัยรุ่นที่อยากจะดูดี และมีสไตล์แบบแกลมสดใส โดยไม่ทำลายโลก เราเชื่อว่าความงามที่แท้จริงนั้นคือการดูดีทั้งภายนอกและภายใน นั่นหมายถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจทั้งความงามและสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ของเราผลิตจากกระดาษชานอ้อยที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และใช้หมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทุกครั้งที่คุณเลือกใช้ Blossom Glow คุณไม่ได้แค่สวย แต่ยังได้ช่วยโลกไปพร้อมกัน Blossom Glow ไม่ใช่แค่แบรนด์เครื่องสำอาง แต่เป็นการสร้างความงามที่ยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคนรุ่นใหม่
สโลแกน (Slogan) : สวยปังอย่างยั่งยืน
วิสัยทัศน์ (Vision) : Blossom Glow ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำที่มุ่งเน้นการสร้างความงามที่สมดุลระหว่างสไตล์ และสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษชานอ้อย และหมึกถั่วเหลือง เรามุ่งหวังที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อโลกและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม Blossom Glow จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะสวย และรักษ์โลกไปด้วยกัน
1.สร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) : ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยใช้การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โฆษณา หรือการร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ และความจำของผู้บริโภคเกี่ยวกับแบรนด์
2.เสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) : พัฒนา และปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค โดยการปรับบรรจุภัณฑ์ ที่สื่อถึงภาพลักษณ์ด้านความรักษ์โลกของแบรนด์
3.สร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) : เสริมสร้างความผูกพันของผู้บริโภค กับแบรนด์ เพื่อให้กลับมาใช้บริการ หรือซื้อสินค้าซ้ำ
4.สร้างความแตกต่างของแบรนด์ (Brand Differentiation) : พัฒนาแบรนด์ให้มีความแตกต่าง และโดดเด่นจากคู่แข่งโดยเฉพาะในด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด
5.เพิ่มมูลค่าแบรนด์ (Brand Equity) : มุ่งเน้นในการสร้างมูลค่าของแบรนด์ โดยการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า และการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค
3.กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และรายละเอียด insight ของกลุ่มเป้าหมาย
Segmentation
Segmentation
Segmentation
Demographic
1) แบ่งตามอายุ
- Gen X (1965 - 1980)
- Gen Y (1981 - 2001)
- Gen Z (2001 - 2012)
2) แบ่งตามรายได้
- 10,000 - 20,000
- 20,001 - 30,000
- 30,001 - 40,000
Behavioral
1) แบ่งตามพฤติกรรม
- กรีนทุกมิติ
- กรีนตามสะดวก
- กรีนตามกระแส
- ไม่เอากรีน
2) แบ่งตามความสนใจ ด้านความงาม
- กลุ่มสายเมคอัพเต็มแม็กซ์
- กลุ่มแต่งเบาแต่ปัง
- กลุ่มมือใหม่หัวใจเมคอัพ
Psychographic
1) แบ่งตามไลฟ์สไตล์
- ติดแกลม
- ติดลุย
- ติดเที่ยว
- ติดบ้าน
- ติดโซเชียล
Target
1. กลุ่ม Gen Z รายได้ 10,000 - 20,000 บาท กรีนตามกระแส กลุ่มแต่งเบาแต่ปัง ติดโซเชียล
2. กลุ่ม Gen Y รายได้ 20,001 - 30,000 บาท กรีนตามสะดวก กลุ่มสายเมคอัพเต็มแม็กซ์ ติดแกลม
Insight
จากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายพบว่า ลูกค้าไม่ได้มีปัญหากับการซื้อเครื่องสำอางแล้วต้องซื้อกล่องใส่เพิ่ม แต่ด้วยผลกระทบที่ได้รับจากสภาวะโลกร้อนทำให้ลูกค้ามีความกังวลที่ต้องทิ้งบรรจุภัณฑ์ไปเฉย ๆ
4.การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์
และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
ออกแบบบรรจุภัณฑ์แป้งผสมรองพื้นจากแบบใช้แล้วทิ้ง ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่เป็นกล่องใส่เครื่องสำอาง โดยเพิ่มช่องเจาะรูสำหรับวางเครื่องสำอาง ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้ซ้ำ ลดการสร้างขยะ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้คุ้มค่ามากที่สุด ตอบโจทย์แนวคิดความยั่งยืน (sustainable) ที่ส่งผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้ทรัพยากร และสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ โดยบรรจุภัณฑ์ผลิตจากกระดาษชานอ้อยที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และใช้หมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5.กิจกรรมการตลาดและการพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรรจุภัณฑ์
4Ps
Product
- บรรจุภัณฑ์ผลิตจากกระดาษชานอ้อยที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และใช้หมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Price
- 259 บาท
Place
ช่องทางออนไลน์
- TikTokShop
- Lazada
- Shopee
Promotion
1.แคมเปญ "แต่งล็อคเกอร์ในแบบของคุณ" ส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายใช้บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ออกแบบมาให้สามารถกลายเป็นกล่องใส่ลิปสติก และอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยมีการแข่งขันในโจทย์ "ล็อคเกอร์ในฝัน" ซึ่งนักเรียนสามารถตกแต่งตู้ล็อคเกอร์ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับ และถ่ายรูปแชร์บนโซเชรยลมีเดีย พร้อมแฮชแท็กที่กำหนด #BehindMyLocker
ของรางวัล : ผู้ที่ได้รับยอดไลค์หรือการโหวตสูงสุดจะได้รับของรางวัล เช่น ชุดเครื่องสำอางพิเศษ พร้อมชั้นวางแบบพิเศษที่ออกแบบเฉพาะ
2.แคมเปญ "Glam & Green" จัดกิจกรรมที่ให้ลูกค้าสร้างลุคแต่งหน้าสไตล์ "แกลม" และแชร์ภาพพร้อมบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ซ้ำ พร้อมติดแฮชแท็ก #GlamAndGreen เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Y ที่ชอบความหรูหรา แต่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
4.จับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ ช่อง Proud Devakula (พราว) (@prouddevakula) ที่มีภาพลักษณ์แกลมแต่รักในความยั่งยืน โดยการให้อินฟลูเอนเซอร์ใช้สินค้าของแบรนด์และพูดถึงจุดเด่นของแบรนด์ คือ การใช้กระดาษชานอ้อยที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และใช้หมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการผลิตบรรจุภัณฑ์
3.จับมืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดีย ช่อง พั้นรักแมว (@fallinlovewithcutiecat) เพื่อให้แบรนด์เกิดกระแสในวงกว้าง และสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
4. Affiliate Marketing จับมืออินฟลูเอนเซอร์ ระดับ Nano Influencer และ Micro Influencer โดยเน้นที่ Nano Influencer เนื่องจากเป็น Influencer ที่อยู่ใกล้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด ทำให้สามารถแนะนำ เกิดการบอกต่อที่มีประสิทธิภาพ
6.การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์
- ยอดขาย : วัดผลจากยอดขายสินค้าที่บรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบมาใช้ซ้ำเป็นกล่องใส่เครื่องสำอาง
- โซเชียลมีเดีย : วัดผลจากการใช้แฮชแท็ก การแชร์คอนเทนต์ และการเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
- การรับรู้แบรนด์ : วัดการเติบโตของการรับรู้แบรนด์ผ่านแบบสำรวจหลังแคมเปญ หรือการติดตามการพูดถึงแบรนด์ในช่องทางต่าง ๆ เช่น TikTok, X หรือ Instagram