บรรจุภัณฑ์เบียร์

Team : สามทหารเสีย
Member
Ms Pornnaphat Mueanlao
Ms Benchaporn Sawiwat
Ms Phonnikan Jaidee
SCGP Packaging Speak Out 2024
รายละเอียด : แผนการพัฒนาแบรนด์และคุณค่าของผลิตภัณฑ์ ที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ โดยจะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อยดังนี้
1.วิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
หากพิจารณาภาพรวมตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง5-7ปีที่ผ่านมา พบว่า ปี2563 เป็นปีที่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หดตัวมากที่สุด เนื่องจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่สั่งงดการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญของตลาด อย่างไรก็ตามหลังจากมีการผ่อนคลายมาตราการควบคุมต่างๆ ตั้งแต่ปลายปี 2564 ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็กลับมาขยายตัวอีกครั้งในปี 2565 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มสินค้าแต่ทว่า แนวโน้มการบริโภคที่ลดลงทำให้ผู้ผลิตพัฒนาเบียร์ไร้แอลกอฮอล์และเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ เนื่องจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ของเบียร์แต่ละประเภท ทำให้เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่ต้องจับตามอง
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของมูลค่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเป็นการขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจาก ยังคงมีมาตรการควบคุมจากภาครัฐไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการทำการตลาดและโฆษณา รวมถึงกระแสการให้ความสำคัญด้านสุขภาพที่ทำให้ผู้บริโภคลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง
2. กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
1.ต้องการให้เกิดการแก้ปัญหา Pain point ของผู้บริโภค
2.ต้องการให้วัสดุทุกชิ้น ไม่กลายเป็นวัสดุเหลือทิ้ง
3.ต้องการให้เกิดความยั่งยืนทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม และองค์กร
3. กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและรายละเอียด Insight ของลุ่มเป้าหมาย
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย:ผู้ที่ซื้อเบียร์จากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ
Insight ของกลุ่มเป้าหมาย
1. Demographics :
ชื่อ : แตงโม
เพศ : หญิง
อายุ : 21 ปี
รายได้ : 10,000 บาท/เดือน
อาชีพ : พนักงานร้านสุกี้

2. Psychographic and Behavior
บุคลิก : ร่าเริงแจ่มใส
ค่านิยม ความคิด : คิดว่าถ้าหากได้ดื่มเบียร์เย็นๆหลังเลิกงานคงจะดีไม่น้อย คงทำให้หายเหนื่อยจากการผัดสุกี้เป็นอย่างมาก
3. Needs and Expectations
ความคาดหวังในการตอบสนองจากแบรนด์ : คาดหวังในเรื่องคุณภาพของเบียร์ หรือบรรจุภัณฑ์ที่สะดวกและง่ายต่อการใช้และดื่ม และความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไป
4. Pain Points
ปัญหา : ขวดเบียร์มีขนาดที่หนัก แต่ทว่า Secondary packaging ที่บรรจุขวดเบียร์นั้นมีขนาดที่บาง เมื่อนำเข้าตู้เย็นแล้วนำออกมาตัว Secondary packaging มีลักษณะที่เปื่อยยุ่ยและขาด ทำให้ขวดเบียร์หล่นแตก อีกทั้งยังยากต่อการถือ
5. Buying Motivation
ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อ: แบรนด์ที่เลือกซื้อมีรสชาติที่ถูกใจ และลวดลายของPackaging ดูน่าสนใจ
6. Channels and Decision-Making Process
การเลือกซื้อสินค้า : เลือกซื้อผ่านทางห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วไป
7. Brand Loyalty
ความภักดีต่อแบรนด์ : ถ้าหากได้ชอบแบรนด์ไหนแล้วจะเลือกซื้อแค่แบรนด์นั้นๆ และบอกต่อให้คนรอบตัวซื้อตามด้วย
4. การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
บรรจุภัณฑ์



5. กิจกรรมการตลาดและพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
4P
1. Product : เบียร์(Secondary Packaging)
2. Price :ตั้งราคาตามความเหมาะสมกับปริมาณ ปริมาณ 2 ขวด 159 บาท
3. Place : ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และเว็บไซต์ทางออนไลน์
4. Promotion
เนื่องจากเบียร์เป็นสินค้าที่มีข้อกำหนดทากฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงเกิดเป็น Promotionออกมาดังนี้
1. การโฆษณา (Advertising)
การสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านสื่อแบบชำระเงิน เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์ (Facebook, Instagram, YouTube) โดยเน้นสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เช่น โฆษณาที่เชื่อมโยงกับกีฬา ดนตรี หรือความเป็นเอกลักษณ์ของผู้บริโภค
2. การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion)
โปรโมชั่นที่มุ่งกระตุ้นยอดขายระยะสั้น เช่น:
- การแจกของแถม เช่น แก้วเบียร์หรือของที่ระลึกเมื่อซื้อในปริมาณที่กำหนด
- โปรโมชั่นในงานเทศกาลเบียร์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงกิจกรรมสำคัญ
3. การประชาสัมพันธ์ (Public Relations)
การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีผ่านกิจกรรมสาธารณะ เช่น การเป็นสปอนเซอร์ให้กับงานเทศกาลเบียร์ งานดนตรี งานกีฬา หรือการสนับสนุนชุมชน เพื่อเชื่อมโยงแบรนด์กับกิจกรรมที่ผู้บริโภคสนใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและภาพลักษณ์เชิงบวก
4. การตลาดโดยตรง (Direct Marketing)
การส่งเสริมการขายผ่านช่องทางตรงถึงผู้บริโภค เช่น การส่งอีเมลหรือข้อความโปรโมชั่นถึงลูกค้าที่เคยซื้อผ่านออนไลน์ หรือการมอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าประจำ
5. การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)
การใช้สื่อดิจิทัลในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น การทำแคมเปญผ่าน Facebook, Instagram หรือ TikTok โดยเน้นคอนเทนต์ที่เชิญชวนให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม เช่น การแข่งขันสร้างคอนเทนต์ หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังใช้การโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อกระตุ้นยอดขายออนไลน์
6. การขายโดยพนักงานขาย (Personal Selling)
การใช้ตัวแทนหรือพนักงานขายในงานอีเวนต์หรือสถานที่ที่ผู้บริโภคสามารถทดลองเบียร์หรือฟังการแนะนำผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่น งานเทศกาลเบียร์ งานดนตรี หรือการจัดบูธแสดงสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ต
7. การใช้ผู้ทรงอิทธิพล (Influencer Marketing)
การจ้างอินฟลูเอนเซอร์หรือบุคคลที่มีอิทธิพลในกลุ่มผู้บริโภค เช่น นักดนตรี นักกีฬา หรือบล็อกเกอร์ที่มีภาพลักษณ์ตรงกับแบรนด์ เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์และกระตุ้นการรับรู้ รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในการดื่มเบียร์
8. กิจกรรมส่งเสริมการขายแบบมีส่วนร่วม (Event Marketing)
การจัดงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเบียร์ เช่น การจัดเทศกาลเบียร์ การทัวร์โรงเบียร์ การจัดงานปาร์ตี้ หรือการจัดชิมเบียร์เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดื่มเบียร์ในบรรยากาศที่สนุกสนานและเป็นกันเอง
6. การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์
1. การวัดผลจากการโฆษณา (Advertising)
- การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness):วัดจากจำนวนการเข้าถึง (Reach) หรือการแสดงผล (Impressions) ของโฆษณา รวมถึงการติดตามจากการค้นหาชื่อแบรนด์
- อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate): วัดจากการกดไลค์ คอมเมนต์ แชร์ หรือคลิกโฆษณาในสื่อออนไลน์
- ความจดจำแบรนด์ (Brand Recall): ใช้แบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบว่าผู้บริโภคจำแบรนด์หรือโฆษณาได้หรือไม่
2. การวัดผลจากการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion)
- ยอดขาย (Sales Volume):วัดยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงโปรโมชั่น
- อัตราการแลกใช้คูปอง (Coupon Redemption Rate): วัดจำนวนคูปองที่ถูกใช้ในช่วงเวลาโปรโมชั่น
- ความถี่ในการซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Rate): วัดจำนวนลูกค้าที่ซื้อซ้ำหลังจากได้ทดลองสินค้าในช่วงโปรโมชั่น
3. การวัดผลจากการประชาสัมพันธ์ (Public Relations)
- การครอบคลุมสื่อ (Media Coverage):วัดจำนวนครั้งที่แบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ปรากฏในข่าว บล็อก หรือสื่ออื่นๆ ที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ความรู้สึกต่อแบรนด์ (Brand Sentiment):ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความคิดเห็นจากสื่อสังคมออนไลน์หรือรีวิวต่างๆ เพื่อดูว่าผู้บริโภครู้สึกเชิงบวกหรือเชิงลบต่อแบรนด์อย่างไร
- การติดตามผลตอบรับ (Feedback): ติดตามผลการจัดกิจกรรมหรืออีเวนต์ที่แบรนด์สนับสนุนผ่านแบบสอบถาม
4. การวัดผลจากการตลาดโดยตรง (Direct Marketing)
- อัตราการตอบกลับ (Response Rate): วัดจากการเปิดอ่านอีเมลหรือการตอบกลับข้อความ
- ยอดขายจากแคมเปญการตลาดโดยตรง (Direct Sales):วัดยอดขายที่มาจากการส่งเสริมการตลาดโดยตรง เช่น การขายผ่านอีเมลหรือการสั่งซื้อผ่านข้อความที่ส่งออกไป
5. การวัดผลจากการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)
- อัตราการคลิก (Click-Through Rate - CTR): วัดจำนวนครั้งที่ผู้บริโภคคลิกเข้ามายังเว็บไซต์หรือหน้าสินค้าหลังเห็นโฆษณาออนไลน์
- อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate): วัดจำนวนผู้ที่กลายเป็นลูกค้าจริงๆ หลังจากเข้าชมเว็บไซต์หรือกดคลิกโฆษณา
- เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (Time on Site): วัดระยะเวลาที่ผู้บริโภคอยู่บนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของแบรนด์
6. การวัดผลจากการขายโดยพนักงานขาย (Personal Selling)
- ยอดขายต่อพนักงานขาย (Sales per Salesperson):วัดยอดขายที่พนักงานขายสามารถสร้างขึ้นในการออกงานอีเวนต์หรือการนำเสนอสินค้า
- อัตราการปิดการขาย (Close Rate):วัดจำนวนการปิดการขายสำเร็จเมื่อพนักงานขายนำเสนอสินค้าให้ผู้บริโภค
- ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction): วัดความพึงพอใจของลูกค้าต่อการให้บริการของพนักงานขายผ่านการสำรวจหรือรีวิว
7. การวัดผลจากการใช้ผู้ทรงอิทธิพล (Influencer Marketing)
- การเข้าถึงผู้ติดตาม (Reach):วัดจำนวนผู้ติดตามที่เห็นโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์เกี่ยวกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์
- การมีส่วนร่วม (Engagement Rate):วัดการกดไลค์ คอมเมนต์ แชร์ และการพูดถึงผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์มของอินฟลูเอนเซอร์
- ยอดขายจากแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer-driven Sales): วัดยอดขายที่เกิดขึ้นจากการที่อินฟลูเอนเซอร์โปรโมตสินค้าผ่านการใช้ลิงก์หรือโค้ดส่วนลดเฉพาะ
8. การวัดผลจากกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Event Marketing)
- จำนวนผู้เข้าร่วมงาน (Event Attendance):วัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่แบรนด์จัดหรือสนับสนุน
- ยอดขายในงาน (On-site Sales): วัดยอดขายที่เกิดขึ้นภายในงานเทศกาลเบียร์หรืออีเวนต์อื่นๆ
- ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม (Attendee Satisfaction): เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์หรือแบบสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผู้เข้าร่วมได้รับจากกิจกรรม