SCGP

แพมเพิสเด็ก

Idea Tank
Team : ปุ๋งปุ๋ง

Member

Ms Krongkwan Wongngamkam

Ms Tadpicha Oros

Ms Napawee Sangchay

สินค้า : แพมเพิสเด็กที่สามารถนำบรรจุภัณฑ์มาเป็นถุงขยะมีซิปล็อค เพื่อใส่แพมเพิสที่ใช้แล้ว ป้องกันเชื้อโรค

การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ

การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน

1.จุดแข็ง (Strengths)

   - คุณภาพสินค้า: หากผ้าอ้อมสำเร็จรูปมีคุณสมบัติซึมซับดี ป้องกันการรั่วซึม ไม่ระคายเคืองต่อผิวของเด็ก จะเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครอง สามารถนำตัวแพคเก็จให้นำกลับมาใช้ซ้ำร่วมกันได้ เป็นถุงขยะสำหรับใส่แพมเพิสที่ใช้แล้ว เพิ่อความสะดวกสบาย และรักษาความสะอาด ซิปล็อคป้องกันเชื้อโรค มีระบบปิดผนึกที่แน่นหนาเพื่อป้องกันกลิ่นและเชื้อโรคไม่ให้แพร่กระจาย

   - การวิจัยและพัฒนา (R&D): การลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสบายให้กับเด็กและผู้ปกครอง เช่น การใช้วัสดุที่ระบายอากาศได้ดี การออกแบบที่เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า การมีแพคเก็จจิ้งที่สามารถนำตัวแพคเก็จให้นำกลับมาใช้ซ้ำร่วมกันได้ เป็นถุงขยะสำหรับห่อแพมเพิสที่ใช้แล้ว เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บขยะ และสามารถย่อยสลายได้ง่าย

  - ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ : สินค้ามีความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ามองว่าเป็นเหตุผลตัวเลือกในการเลือกซื้อสินค้าของเรา

 2. จุดอ่อน (Weaknesses) :

   - ต้นทุนการผลิตสูง : การใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้สินค้าปลอดภัยและสบายสำหรับเด็ก อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ส่งผลต่อราคาขายที่สูงขึ้น

   - การรับรู้แบรนด์และความน่าเชื่อถือ : แบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือในตลาด ทำให้ลูกค้ายังไม่มีความมั่นใจมากพอในการเลือกใช้สินค้า

3. โอกาส (Opportunities)

   - การขยายตลาด :การผลิตสินค้าที่ทำให้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น การผลิตผ้าอ้อมสำหรับเด็กที่ผลิตเพื่อนำตัวแพคเก็จให้นำกลับมาใช้ซ้ำร่วมกันได้เพื่อเป็นถุงขยะให้กับแพมเพิสที่ใช้แล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย

   - แนวโน้มการดูแลสุขภาพเด็กที่เพิ่มขึ้น : พ่อแม่รุ่นใหม่มักให้ความสำคัญกับสุขภาพของลูกจึงมีโอกาสสำหรับธุรกิจในการพัฒนาสินค้าที่ปลอดภัย สะอาด สะดวกสบาย และเป็นโอกาสให้พ่อแม่เลือกใช้แพมเพิสที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมต่อโลก

   - การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต: การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น

4. อุปสรรค (Threats)

   - การแข่งขันสูงในตลาด: ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กมีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลายรายทั้งจากแบรนด์ใหญ่และแบรนด์เล็ก อาจทำให้ต้องแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น

   - การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มหันมาใช้ผ้าอ้อมผ้าที่ซักได้ เพื่อลดปัญหาขยะ อาจส่งผลต่อยอดขายผ้าอ้อมสำเร็จรูป

การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก

1. Political (ปัจจัยทางการเมือง)

   - นโยบายภาครัฐ: นโยบายด้านการผลิต เช่น การควบคุมการใช้สารเคมีในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก

   - นโยบายสิ่งแวดล้อม: รัฐบาลเริ่มเข้มงวดเรื่องการจัดการขยะจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจปรับตัวโดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้และนำถุงแพ็คเกจจิ้งกลับมาใช้ซ้ำเพื่อประโยชน์สูงสุด

2. Economic (ปัจจัยทางเศรษฐกิจ)

   - ภาวะเศรษฐกิจ: หากเศรษฐกิจเติบโตดี ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจทำให้ผู้บริโภคลดการใช้สินค้าที่มีราคาแพงลง

   - ต้นทุนวัตถุดิบ: ราคาวัตถุดิบที่ใช้ผลิตผ้าอ้อม เช่น วัสดุสังเคราะห์หรือวัสดุธรรมชาติ อาจผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจโลก ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต

3. Social (ปัจจัยทางสังคม)

   - อัตราการเกิดของประชากร: อัตราการเกิดส่งผลโดยตรงต่อความต้องการผ้าอ้อมสำเร็จรูป หากอัตราการเกิดลดลง ความต้องการสินค้าในตลาดนั้นอาจลดลงตาม

   - แนวโน้มการดูแลสุขภาพของเด็ก: ผู้ปกครองเริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ แพมเพิสที่ปราศจากสารเคมีอันตรายสะอาดปลอดภัย พกพาง่ายและแพ็คเกจที่ผลิตเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำได้

   - พฤติกรรมการบริโภค: ความสะดวกสบายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้ปกครอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองยุคใหม่ที่ต้องการผ้าอ้อมที่ใช้งานง่าย มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การเลี้ยงดูเด็ก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

4. Technological (ปัจจัยทางเทคโนโลยี)

   - นวัตกรรมในกระบวนการผลิต: การพัฒนานวัตกรรมในการผลิตแพตเกจจิ้งที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และสร้างความสะดวกสะบายให้กับผู้ปกครอง และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้

5. Environmental (ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม)

   - กระแสการรักษาสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือ แพมเพิสที่ใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้และนำถุงแพ็คเกจจิ้งกลับมาใช้ได้

   - การจัดการขยะ: ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุของปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

6. Legal (ปัจจัยด้านกฎหมาย)

   - กฎหมายควบคุมสินค้าสำหรับเด็ก: กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น มาตรฐานด้านความปลอดภัย การทดสอบสารเคมี และมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัย จะส่งผลต่อการออกแบบและการผลิตสินค้า

   - กฎหมายสิ่งแวดล้อม: กฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการจัดการขยะและการใช้พลาสติก เช่น การกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ต้องสามารถรีไซเคิลได้หรือใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาจเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อกฎระเบียบเหล่านี้

การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์

1. เป้าหมายด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์

   - ความสะดวกในการใช้งาน: ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นถุงขยะได้ง่ายดายและใช้งานได้จริง โดยต้องสะดวกสำหรับผู้ปกครองที่ต้องทิ้งผ้าอ้อมสำเร็จรูปในทุกสถานการณ์ เช่น ขณะอยู่นอกบ้าน

   - ป้องกันการรั่วซึมและเชื้อโรค: บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้ป้องกันกลิ่นและเชื้อโรคได้อย่างดี ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากผ้าอ้อมที่ใช้แล้ว

   - วัสดุที่แข็งแรงและทนทาน: เลือกใช้วัสดุที่ทนทานพอที่จะใช้เก็บผ้าอ้อมใช้แล้วได้โดยไม่ขาดหรือรั่ว และต้องสามารถมัดหรือปิดปากถุงได้ง่าย

2. เป้าหมายด้านการตลาดและการสร้างความแตกต่าง

   - ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: เน้นจุดเด่นของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และลดปริมาณขยะ ทำให้เกิดความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

   - สื่อสารคุณค่าให้กับผู้บริโภค: สื่อสารถึงความสำคัญของการป้องกันเชื้อโรคและความสะดวกในการจัดการผ้าอ้อมใช้แล้ว ให้ผู้ปกครองเห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อสุขภาพครอบครัวและสิ่งแวดล้อม

3. เป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

   - ใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: เลือกใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้หรือรีไซเคิลได้ง่าย โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหลังจากการใช้งาน

   - สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากร เช่น การใช้วัสดุเพียงอย่างเดียวสำหรับทั้งบรรจุภัณฑ์และถุงขยะ จะช่วยลดการผลิตขยะและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร

4. เป้าหมายด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย

   - การทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย: ให้มั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการป้องกันเชื้อโรค เพื่อให้ผู้ปกครองมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากผ้าอ้อมใช้แล้ว

   - พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน: บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือขณะเดินทาง จะช่วยเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ในสายตาผู้บริโภค

การกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และรายละเอียด Insight ของกลุ่มเป้าหมาย

 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Customer):

1. พ่อแม่และผู้ปกครองของทารกและเด็กเล็ก (ช่วงอายุ 0-3 ปี)

   - ผู้ปกครองที่มีลูกเล็กและต้องการความสะดวกสบายในการทิ้งแพมเพิสที่ใช้แล้วอย่างปลอดภัยและถูกสุขอนามัย

2.  พ่อแม่วัยรุ่นและวัยทำงาน

   - มักมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เนื่องจากต้องทำงานหรือทำกิจกรรมหลายอย่างและอาจไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลลูก

3. พ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

   - กลุ่มผู้ปกครองที่คำนึงถึงการรักษาความสะอาด ป้องกันเชื้อโรค และลดการปนเปื้อนในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทารกอยู่

Insight ของกลุ่มเป้าหมาย:

1. ความสะดวกและรวดเร็วในการกำจัดแพมเพิส

   - พ่อแม่ต้องการถุงที่สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวกในการทิ้งแพมเพิสทันทีหลังการใช้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดกลิ่นหรือการแพร่กระจายของเชื้อโรค

2. ความสำคัญของสุขอนามัย

   - ผู้ปกครองใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูก จึงต้องการผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เช่น ซิปล็อคที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการรั่วซึมและกลิ่นเหม็น

3. ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

   - พ่อแม่บางกลุ่มต้องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยลดขยะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแพคเกจจิ้งที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำเป็นถุงขยะนับว่าเป็นข้อได้เปรียบ

4. ความคุ้มค่าและการใช้ซ้ำ

   - แพคเกจจิ้งที่สามารถใช้เป็นถุงขยะได้ ช่วยลดความจำเป็นในการซื้อถุงขยะเพิ่มเติม ซึ่งผู้ปกครองกลุ่มนี้จะมองว่ามีความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ

คุณสมบัติสำคัญของบรรจุภัณฑ์

1. ซิปล็อคป้องกันเชื้อโรค – มีระบบปิดผนึกที่แน่นหนาเพื่อป้องกันกลิ่นและเชื้อโรคไม่ให้แพร่กระจาย

2. วัสดุปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บขยะ และสามารถย่อยสลายได้ง่าย

การออกแบบบรรจุภัณฑ์

 1. วัสดุของบรรจุภัณฑ์

- วัสดุรีไซเคิลและย่อยสลายได้ : บรรจุภัณฑ์ควรทำจากพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable) เพื่อช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

- วัสดุกันน้ำและป้องกันการรั่วซึม : เนื่องจากเป็นแพคเกจที่สามารถนำกลับมาใช้เป็นถุงขยะสำหรับทิ้งแพมเพิส จึฃมีคุณสมบัติกันน้ำและป้องกันกลิ่นเพื่อรักษาสุขอนามัย

2. การออกแบบซิปล็อค

- ซิปล็อคสองชั้น : เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการรั่วซึม ซิปล็อคควรมีการออกแบบเป็นสองชั้นที่ช่วยให้ถุงสามารถปิดแน่นและไม่ทำให้เชื้อโรคหรือกลิ่นออกมา

- ใช้งานง่าย : การเปิด-ปิดควรสะดวก ใช้ซิปล็อคที่สามารถดึงและกดได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก

 3. ขนาดและรูปทรง

- ขนาดพอดีสำหรับการทิ้งแพมเพิส: แพคเกจจิ้งควรมีขนาดที่เพียงพอสำหรับการใส่แพมเพิสใช้แล้ว เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค และยังควรมีขนาดกะทัดรัดที่พกพาสะดวกเมื่อผู้ปกครองพาเด็กออกไปข้างนอก

- รูปทรงถุงที่สะดวกต่อการเก็บและจัดเก็บ: ถุงสามารถพับเก็บได้ง่ายเมื่อยังไม่ใช้งานและไม่กินพื้นที่ในการจัดเก็บ

4. การออกแบบภาพลักษณ์แบรนด์

- การใช้สีธรรมชาติและเรียบง่าย: ใช้สีอ่อนๆ และสีที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น สีเขียว สีฟ้า หรือสีขาว เพื่อสื่อถึงความสะอาด ปลอดภัย และใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

- ข้อความและสัญลักษณ์บนบรรจุภัณฑ์: เพิ่มข้อความที่สื่อถึงการใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และการป้องกันเชื้อโรค เช่น "ใช้ซ้ำได้" หรือ "รักษ์โลก รักษาความสะอาด" พร้อมสัญลักษณ์การรีไซเคิลและการป้องกันเชื้อโรค

5. การสื่อสารถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

- ข้อความสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม: บรรจุภัณฑ์ควรมีข้อความหรือกราฟิกที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคร่วมมือในการลดการใช้ถุงพลาสติก และเน้นการนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำ

 -แคมเปญความรับผิดชอบต่อสังคม: อาจมีการสื่อสารผ่านบรรจุภัณฑ์หรือการตลาดเกี่ยวกับการร่วมสนับสนุนการลดขยะ

 6. ประโยชน์ต่อผู้ใช้งานและสังคม

- ประหยัดและคุ้มค่า: การนำแพคเกจจิ้งมาใช้ซ้ำเป็นถุงขยะ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อถุงขยะเพิ่ม และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ปกครอง

- ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี: ถุงที่ปิดสนิทและป้องกันเชื้อโรคจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคในบ้านและในพื้นที่ที่เด็กใช้ชีวิต

ตัวอย่างการออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. ซิปล็อคอยู่ด้านบน: เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน สามารถเปิดใส่แพมเพิสและปิดได้โดยไม่ต้องจับที่ด้านในของถุง

2. มีช่องระบายอากาศ:  ออกแบบให้มีระบบระบายอากาศที่ช่วยป้องกันกลิ่นแต่ยังคงปิดสนิทสำหรับการป้องกันเชื้อโรค

กิจกรรมการตลาดและการพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์

1. กิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค (Marketing Campaign Activities)

1.1 แคมเปญ "ใช้ซ้ำ รักษ์โลก"

- แนวคิด: กระตุ้นการรับรู้ถึงความสำคัญของการลดขยะและการรักษาสุขอนามัยผ่านการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำให้เป็นถุงขยะเพื่อใส่แพมเพิสที่ใช้แล้ว

- กิจกรรม: จัดทำโฆษณาทางสื่อออนไลน์ และสื่อโซเชียลที่เน้นถึงวิธีการใช้ซ้ำของบรรจุภัณฑ์ เน้นว่าถุงซิปล็อคแต่ละซองสามารถใช้แทนถุงขยะได้โดยง่ายและสะดวก พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเชื้อโรคและการรักษาความสะอาด

- การสื่อสาร: ใช้สโลแกน เช่น “ใช้ซ้ำ ง่าย สะอาด ปลอดภัย” พร้อมกับเน้นการดูแลสุขอนามัยของลูกและครอบครัว รวมถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

 1.2 แจกบรรจุภัณฑ์ตัวอย่าง (Sampling Campaign)

- แนวคิด: ให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้แพมเพิสพร้อมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้

- กิจกรรม: จัดกิจกรรมแจกบรรจุภัณฑ์พร้อมแพมเพิสตัวอย่างฟรีในงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว ห้างสรรพสินค้า หรือที่โรงพยาบาลที่มีแผนกเด็ก เพื่อให้ผู้ปกครองได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริง และทดลองใช้ถุงซิปล็อคเพื่อทิ้งแพมเพิสที่ใช้แล้ว

- จุดมุ่งหมาย : ให้ผู้ปกครองรู้สึกถึงความสะดวกสบายของผลิตภัณฑ์และเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อแบรนด์

1.3 แคมเปญ CSR "แพมเพิสเพื่อสังคม"

- แนวคิด: การร่วมมือกับองค์กรการกุศลหรือโครงการเพื่อเด็ก โดยบริจาครายได้บางส่วนจากการขายผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านสุขอนามัยหรือสิ่งแวดล้อม

- กิจกรรม: สำหรับทุกการซื้อแพมเพิสของลูกค้า แบรนด์จะบริจาคถุงซิปล็อคหรือแพมเพิสให้กับองค์กรการกุศลที่ดูแลเด็กในพื้นที่ที่ขาดแคลน หรือมอบให้กับศูนย์เด็กเล็ก

- จุดมุ่งหมาย: เพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์และสร้างความรู้สึกดีต่อผู้บริโภคว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม

2. การพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์ (Brand Development through Packaging)

2.1 การใช้เทคโนโลยี QR Code บนบรรจุภัณฑ์

- แนวคิด: เพิ่มมูลค่าให้บรรจุภัณฑ์ด้วยการเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และการใช้ถุงซิปล็อคอย่างถูกวิธี

- การดำเนินการ: ติด QR Code บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสแกนเพื่อรับชมวิดีโอแนะนำการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ การรักษาสุขอนามัย หรือเคล็ดลับการดูแลลูก อาจมีส่วนลดพิเศษหรือสิทธิพิเศษให้กับผู้ที่สแกน QR Code เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมกับแบรนด์

2.2 การสร้างผลิตภัณฑ์คู่ขนาน (Product Extension)

- แนวคิด: ขยายแบรนด์ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแนวคิดการรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษเช็ดทำความสะอาดสำหรับเด็กที่มาพร้อมกับถุงซิปล็อคเล็กๆ เพื่อความสะดวกในการทิ้ง

- การดำเนินการ: พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบถุงซิปล็อคเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกและใส่ใจเรื่องสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

3. การสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Marketing)

3.1 การใช้ Influencers หรือ KOLs ที่มีความเชี่ยวชาญด้านแม่และเด็ก

- แนวคิด: ใช้บุคคลที่มีอิทธิพลในกลุ่มแม่และเด็ก เช่น คุณแม่อินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงลูก มาแนะนำผลิตภัณฑ์และคุณสมบัติพิเศษของบรรจุภัณฑ์

- กิจกรรม: เชิญอินฟลูเอนเซอร์ถ่ายทำวิดีโอการใช้ผลิตภัณฑ์และรีวิวการใช้บรรจุภัณฑ์ซิปล็อคในชีวิตจริง เช่น การทิ้งแพมเพิสในระหว่างการเดินทาง และการช่วยลดการปนเปื้อนในบ้าน

3.2 สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียล

- แนวคิด: เน้นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของพ่อแม่ เช่น การดูแลสุขอนามัยของลูกและบ้าน ควบคู่กับการลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม

- กิจกรรม: โพสต์เคล็ดลับการเลี้ยงลูก การใช้ผลิตภัณฑ์ในเชิงประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับโปรโมชันและข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok

การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์

1. การวัดความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction)

   - การสำรวจความคิดเห็น (Surveys & Feedback): ทำการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคุณภาพของแพมเพิสและบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้เป็นถุงขยะ การใช้งานสะดวกและตอบโจทย์หรือไม่

   - รีวิวและความคิดเห็นออนไลน์ (Online Reviews): วิเคราะห์ความคิดเห็นจากช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ขายสินค้า โซเชียลมีเดีย และฟอรัมต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่าผู้บริโภคมีความพึงพอใจและเห็นคุณค่าในการใช้งานบรรจุภัณฑ์ถุงขยะหรือไม่

 2. การวัดการรับรู้และภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Awareness and Image)

   - การรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness Surveys): สำรวจว่าผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้หรือไม่ และสามารถแยกแยะความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เป็นถุงขยะเพื่อป้องกันเชื้อโรค

   - การวัดอัตราการเข้าถึงบนโซเชียลมีเดีย (Social Media Reach and Engagement): วัดการมีส่วนร่วมของลูกค้ากับเนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์ เช่น การไลค์ การแชร์ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้ซ้ำได้บนโซเชียลมีเดีย

   - การรับรู้เชิงบวกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (Environmental Perception): วัดว่าลูกค้ามองว่าแบรนด์มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ จากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

3. การวัดยอดขายและการเติบโตของตลาด (Sales Growth and Market Penetration)

   - อัตราการเติบโตของยอดขาย (Sales Growth Rate): วัดการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์แพมเพิสที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นถุงขยะ โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนและหลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์

   - การเจาะตลาด (Market Penetration): วิเคราะห์การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) และจำนวนลูกค้าใหม่ที่ตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์แพมเพิสที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้

   - อัตราการซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Rate): วัดว่าลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าครั้งแรกกลับมาซื้อซ้ำมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยบอกได้ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจและภักดีต่อแบรนด์หรือไม่

4. การวัดความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability and Environmental Impact)

   - การลดปริมาณขยะ (Waste Reduction Metrics): วัดว่าบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้เป็นถุงขยะช่วยลดปริมาณขยะและการใช้พลาสติกได้มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์มีอยู่ตามท้องตลาด

   - การรับรองด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Certifications): ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองหรือเครื่องหมายรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่

   - การสนับสนุนจากลูกค้า (Consumer Support for Sustainability): วัดการตอบรับจากลูกค้าที่สนใจเรื่องความยั่งยืนและพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 5. การวัดผลลัพธ์ทางการเงิน (Financial Performance)

   - อัตรากำไร (Profit Margin) : วัดความสามารถในการทำกำไรของผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ โดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นในกลุ่มเดียวกัน

   - ต้นทุนต่อหน่วย (Cost per Unit): ประเมินต้นทุนการผลิตบรรจุภัณฑ์และเปรียบเทียบว่าคุ้มค่าเพียงพอกับราคาขายหรือไม่ รวมถึงผลกระทบต่อต้นทุนรวมของผลิตภัณฑ์

   - ผลตอบแทนจากการลงทุน: วัดผลตอบแทนจากการลงทุนในด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพื่อดูว่าการลงทุนในส่วนนี้ให้ผลตอบแทนอย่างไรบ้าง

6. การมีส่วนร่วมของลูกค้าและการให้ความรู้ (Customer Engagement and Education)

   - การเข้าถึงข้อมูลและความรู้ (Educational Reach): วัดผลของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานบรรจุภัณฑ์และประโยชน์ในการป้องกันเชื้อโรค รวมถึงผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม

   - อัตราการเข้าร่วมกิจกรรมหรือแคมเปญ (Campaign Participation Rate): วัดจำนวนลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมหรือแคมเปญที่เน้นความยั่งยืนและการใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ เช่น การรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์หรือการลดขยะ

other Ideas