Nature grace กล่องผ้าอนามัย

Team : afp.bkk
Member
Ms Pisinee Somboonsri
Mr Sirithida watthanabenchathikun
Ms Naritsa juysongkeaw

1.การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
· วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกด้วย PESTEL Analysis
Political (การเมือง)
กฎระเบียบและมาตรฐาน : รัฐบาลบังคับใช้กฎระเบียบด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สุขอนามัย และการโฆษณาในอุตสาหกรรมผ้าอนามัย
นโยบายภาษี : อัตราภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศตัวอย่างเช่น หลายภูมิภาคได้รณรงค์ให้ลดหรือยกเลิก "ภาษีฟุ่มเฟือย" สำหรับผลิตภัณฑ์สุขอนามัยสำหรับผู้หญิง โดยให้เหตุผลว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพที่จำเป็น การเปลี่ยนแปลงภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาและอุปสงค์ของตลาด
Economic (เศรษฐกิจ)
อำนาจซื้อของผู้บริโภค : ภาวะเศรษฐกิจ เช่น เงินเฟ้อหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีอิทธิพลต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภค ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้บริโภคอาจหันไปซื้อแบรนด์ที่ถูกกว่าซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม
ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น : ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ (ฝ้าย พลาสติก) และต้นทุนการขนส่งอันเนื่องมาจากการ หยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ด้านราคาและอัตรากำไร
Social (สังคม)
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ : การเคลื่อนไหวทางสังคมที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและการตระหนักรู้ด้านสุขภาพในช่วงมีประจำเดือนทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ราคาไม่แพง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันจึงมีโปรแกรมที่สามารถคำนวณรอบเดือนที่นอกจากจะดีต่อเรื่องทางสุขภาพแล้ว โปรแกรมการคำนวณรอบเดือนจะช่วยให้ผู้หญิงจัดการชีวิตตัวเองได้ง่ายขึ้น
Technological (เทคโนโลยี)
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อีคอมเมิร์ซ : การช้อปปิ้งออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบาย สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเดินทางไปที่ร้าน นอกจากนี้ยังสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย ทำให้สามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้การช้อปปิ้งออนไลน์ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดูรีวิวสินค้าและประสบการณ์การใช้งานจากผู้ซื้อคนอื่น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจซื้อสินค้า ดังนั้น การช้อปปิ้งออนไลน์ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน แต่ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตเนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค
Environmental (สิ่งแวดล้อม)
ความยั่งยืน : ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยมีส่วนทำให้เกิดขยะสิ่งแวดล้อมอย่างมากเนื่องจากผ้าอนามัยแบบดั้งเดิมใช้วัสดุที่ไม่ย่อยสลายได้ บริษัทต่างๆ ต่างได้รับแรงกดดันมากขึ้นในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอาจส่งผลกระทบต่อความพร้อมของวัตถุดิบ โดยเฉพาะฝ้าย ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์สุขอนามัยหลายชนิด ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทานต้องเปลี่ยนแปลงไป
Legal (กฎหมาย)
ข้อบังคับด้านสุขภาพ : ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่เข้มงวดเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษและการรับรองประสิทธิภาพการดูดซับ การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพอาจส่งผลให้ต้องเรียกคืนสินค้า ฟ้องร้อง หรือทำให้แบรนด์เสียหาย
กฎหมายโฆษณา : การอ้างสิทธิ์ทางการตลาดเกี่ยวกับผ้าอนามัยต้องเป็นไปตามข้อบังคับการโฆษณาที่ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด โดยเฉพาะในด้านต่างๆ เช่น การดูดซับ ความสบาย และประโยชน์ต่อสุขภาพ
2. การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์ผ้าอนามัยเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด
1. การสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์
ความปลอดภัยและความสะดวกสบายเป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคคาดหวังจากผ้าอนามัย จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัยต่อสุขภาพ และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มเป้าหมาย
2. การสร้างความแตกต่าง (Brand Differentiation)
การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง เช่น ผ้าอนามัยสำหรับการใช้งานระหว่างการออกกำลังกาย การเดินทาง หรือผ้าอนามัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและสร้างความประทับใจในตลาด
3. การตอบสนองต่อแนวโน้มที่ยั่งยืน (Sustainability)
ความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังมีผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน แบรนด์จึงกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้าอนามัยที่สามารถย่อยสลายได้ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนสินค้ายั่งยืน
4. การสร้างการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness)
ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงและบุคคลที่จำเป็นต้องใช้ที่มีความรักษ์โลก ผ่านการโฆษณาและการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การใช้กลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย เช่น การใช้สื่อออนไลน์และออฟไลน์ การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ หรือการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้หญิง จะช่วยให้แบรนด์ได้รับความสนใจและการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น
5. การรักษาความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty)
ตั้งเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยการให้บริการที่ดี การตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของลูกค้า และการจัดโปรแกรมสมาชิกที่ให้สิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือของแถม เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
6. นวัตกรรมและการวิจัย
ทางแบรนด์มีเป้าหมายในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การพัฒนาผ้าอนามัยที่บางเบาและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสูง การใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิตที่ช่วยลดการระคายเคือง ผ่านการรับรองคุณภาพ, การจัดการปัญหาอย่างรวดเร็ว, และการแสดงความโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค
3. การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
กระบวนการที่สำคัญในธุรกิจเพื่อให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ้าอนามัยที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ จำเป็นต้องพิจารณาความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ดังนี้
1. กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- ลักษณะลูกค้า : เป็นผู้ที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการใช้ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกหรือ. ผลิตภัณฑ์ที่ทำลายธรรมชาติ
- ความต้องการ : มองหาผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ง่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพ
- ลักษณะลูกค้า : กลุ่มนี้มีความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย เช่น สีสังเคราะห์ หรือสาร ฟอกขาว
- ความต้องการ : ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ปลอดสารเคมี และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
3. กลุ่มลูกค้าสายออร์แกนิก (Organic Consumers)
- ลักษณะลูกค้า : กลุ่มที่บริโภคผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก เช่น อาหาร เสื้อผ้า หรือผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนตัว
- ความต้องการ : ผ้าอนามัยที่ทำจากวัสดุออร์แกนิก เช่น ฝ้ายออร์แกนิกที่ผ่านการรับรองจาก มาตรฐานสากล
4. กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจในความยั่งยืน (Sustainability-Minded Consumers)
- ลักษณะลูกค้า : ผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และต้องการสนับสนุนธุรกิจที่มีแนว ทางการผลิตแบบยั่งยืน
- ความต้องการ : ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลักษณะการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การผลิตที่ใช้พลังงานสะอาด หรือวัสดุรีไซเคิล
4. แบบบรรจุภัณฑ์
Packaging design concept for the sanitary pad product named Naturegrace, centered around the themes of "Organic, Sustainability, and Be Gorgeous." The design features soft, natural colors and elegant elements that emphasize both eco-friendliness and a luxurious look.
5. กิจกรรมทางการตลาดและการพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
· กิจกรรมทางการตลาด (Marketing Activities)
1. การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion)
- จัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าใหม่หรือการสั่งซื้อครั้งแรก เช่น ส่วนลดพิเศษ, ซื้อ 1 แถม 1เพื่อสร้างความสนใจและดึงดูดลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้สินค้า
- แจกสินค้าตัวอย่างให้กับผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เช่น ในงานแสดงสินค้าเพื่อสุขภาพ
2. การโฆษณา (Advertising)
- โฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, YouTube โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้หญิงที่สนใจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- ใช้สื่อสิ่งพิมพ์หรือนิตยสารที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพื่อนำเสนอประโยชน์ของวัสดุธรรมชาติในผ้าอนามัย เช่น ความปลอดภัยต่อร่างกายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3. การตลาดเชิงเนื้อหา (Content Marketing)
- สร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของวัสดุธรรมชาติ เช่น บทความเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้หญิง และข้อดีของการใช้ผ้าอนามัยที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ
- ใช้การรีวิวสินค้าจากผู้ใช้จริง โดยเฉพาะผู้ที่มีบทบาททางสังคมหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและรักษ์โลก
4. การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)
- สร้างแคมเปญที่เน้นความยั่งยืนและความสำคัญของการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- โพสต์เนื้อหาที่เชื่อมโยงกับวันสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น วันคุ้มครองโลก หรือแคมเปญลดพลาสติก
5. การตลาดผ่านอีเวนต์ (Event Marketing)
- เข้าร่วมงานอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, สินค้าธรรมชาติ, หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น งานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงามที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ
6. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Marketing)
- มีการให้คำแนะนำหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลตัวเองในช่วงมีประจำเดือนผ่านทางอีเมล
- สร้างโปรแกรมสะสมแต้มเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เช่น สะสมแต้มเพื่อแลกสินค้าหรือส่วนลด
· การพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
1.การออกแบบบรรจุภัณฑ์ -เลือกวัสดุที่ย่อยสลายได้ : ใช้วัสดุจากธรรมชาติผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยเลือกใช้เส้นใยไผ่ และตัว บรรจุภัณฑ์กระดาษคราฟท์
- ออกแบบให้มีความน่าสนใจและสะดุดตา : การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปลักษณ์ที่น่าสนใจและสามารถ Reuse, Reduce, Recycle ได้
2. การสื่อสารกับลูกค้า
- เน้นความยั่งยืน: สื่อสารถึงความสำคัญของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกลยุทธ์การตลาด
- ให้ข้อมูลที่ชัดเจน: ระบุชัดเจนว่าบรรจุภัณฑ์ทำมาจากวัสดุที่ย่อยสลายได้และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
3. การสร้างแบรนด์
- สร้างเอกลักษณ์: พัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์ที่สะท้อนถึงความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
- จัดกิจกรรมหรือแคมเปญ: สร้างแคมเปญการตลาดที่เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการลดขยะและการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4. การทดลองและพัฒนา
- ทำการทดลองตลาด: เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในตลาดเฉพาะกลุ่มก่อนเพื่อรับข้อเสนอแนะแต่ละกลุ่มลูกค้าจากนั้นใช้ความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการได้ดีขึ้น
5. การเชื่อมโยงกับกลุ่มพันธมิตร
- ร่วมมือกับองค์กรสิ่งแวดล้อม : การร่วมมือกับองค์กรที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ
6. การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์
1. การวัดผลเชิงปริมาณ (Quantitative Metrics)
· ยอดขาย (Sales Volume): วัดจากยอดขายของผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะบอกถึงประสิทธิภาพของการตลาดและความสนใจในผลิตภัณฑ์
· อัตราการเติบโตของยอดขาย (Sales Growth Rate): เปรียบเทียบยอดขายในแต่ละเดือนหรือแต่ละไตรมาส เพื่อดูการเติบโตของแบรนด์
· จำนวนลูกค้าใหม่ (New Customer Acquisition): การวัดจำนวนลูกค้าที่เริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยธรรมชาติ เพื่อดูการขยายตลาด
· อัตราการซื้อซ้ำ (Customer Retention Rate): วัดจำนวนลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งบ่งบอกถึงความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์
· อัตราการตอบสนองต่อโปรโมชั่น (Promotion Response Rate): วัดจำนวนผู้เข้าร่วมโปรโมชั่นหรือการตอบรับต่อการโฆษณาต่าง ๆ เช่น ใช้โค้ดส่วนลด หรือเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์
2. การวัดผลเชิงคุณภาพ (Qualitative Metrics)
- ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction): การสำรวจความคิดเห็นผ่านแบบสอบถาม หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์เพื่อดูว่าลูกค้าพอใจกับคุณภาพของสินค้าและบริการหรือไม่
- การรับรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness): วัดจากการรับรู้และจดจำแบรนด์ผ้าอนามัยที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ผ่านโพลสำรวจหรือเครื่องมือวิเคราะห์สื่อออนไลน์ (เช่น Social Listening)
- ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty): วัดจากความถี่ในการซื้อซ้ำ และการที่ลูกค้าแนะนำผลิตภัณฑ์ให้กับผู้อื่น
- การพูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Mentions): วิเคราะห์การกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Twitter เพื่อดูความสนใจและความคิดเห็นของลูกค้า
- การรีวิวจากผู้บริโภค (Customer Reviews): การรีวิวเชิงบวกและการรีวิวบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee หรือเว็บไซต์ของบริษัท สามารถเป็นตัวชี้วัดถึงคุณภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้จริง
3. การวัดผลจากกิจกรรมการตลาดเฉพาะ (Marketing Campaign Metrics)
- การเข้าถึง (Reach): ดูจำนวนผู้ที่เข้าถึงโฆษณาออนไลน์หรือสื่อโปรโมตในแคมเปญ เช่น จำนวนคลิกหรือการแสดงผล (Impressions)
- อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate): วิเคราะห์การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค เช่น จำนวนไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์บนโพสต์โฆษณาหรือเนื้อหาที่สร้างโดยแบรนด์
- การตอบกลับของลูกค้า (Customer Feedback): วัดผลจากการตอบกลับผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย เพื่อวัดผลกระทบของแคมเปญต่อทัศนคติและความคิดเห็นของผู้บริโภค
4. การวัดผลจากความยั่งยืน (Sustainability Metrics)
- การลดการใช้พลาสติก (Plastic Reduction): วัดปริมาณของการลดขยะพลาสติกที่เกิดจากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การรับรองและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม (Environmental Certifications): ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เช่น การรับรองจากหน่วยงานอิสระเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก