มีเธอ: บรรจุภัณฑ์สำหรับหลอดไฟ LED
Team : สามทหารเสีย
Member
Ms Pornnaphat Mueanlao
Ms Benchaporn Sawiwat
Ms Phonnikan Jaidee
Market Situation Analysis
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่บ้านมากขึ้น เช่น การทำงาน การรับประทานอาหาร และการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ส่งผลให้ความต้องการบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในปี 2565 ตลาดบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยขยายตัวได้ถึง 10.5% คิดเป็นมูลค่ากว่า 644,000 ล้านบาท โดยการขยายตัวหลักมาจากบรรจุภัณฑ์โลหะ (11.5%) บรรจุภัณฑ์พลาสติก (11.3%) และบรรจุภัณฑ์กระดาษ (8.7%) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยอย่างชัดเจนการเติบโตนี้ส่งผลให้ภาคผู้ประกอบการบรรจุภัณฑ์ ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ถูกมองว่าเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างดี คือ การผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคและบริษัทต่าง ๆ เริ่มให้ความสนใจกับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือผลิตจากวัสดุรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ การพัฒนาแพ็กเกจจิ้งสำหรับอุตสาหกรรมหลอดไฟก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยแบรนด์ต่าง ๆ ต้องใช้กลยุทธ์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่นเพื่อสร้างความแตกต่าง
บรรจุภัณฑ์หลอดไฟที่สามารถนำไปรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ตามธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นและความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายบริษัทเริ่มใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษคราฟท์หรือฟิล์มย่อยสลายได้ ในขณะที่บางบริษัทได้ทดลองใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์แบบสมาร์ท เช่น NFC หรือ QR codes เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและการใช้งาน รวมถึงนวัตกรรมวัสดุใหม่ เช่น พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) หรือวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้กำลังเป็นที่นิยมในการทำบรรจุภัณฑ์หลอดไฟเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยสรุปได้ว่าตลาดแพ็กเกจจิ้งสำหรับหลอดไฟกำลังพัฒนาไปพร้อมกับความต้องการของผู้บริโภคและแนวโน้มสิ่งแวดล้อม บริษัทต่าง ๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสการใช้หลอดไฟที่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถปกป้องผลิตภัณฑ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
SWOT Analysis
จุดแข็ง (Strengths)
1. ความสามารถในการนำบรรจุภัณฑ์ไปใช้ซ้ำ (reuse), ลดปริมาณวัสดุ (Reduce), รีไซเคิล (recycle), และอัพไซเคิล (upcycle) ช่วยตอบโจทย์ความต้องการในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (sustainability)ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ในสายตาผู้บริโภค
2. การเพิ่มมูลค่าบรรจุภัณฑ์ด้วยการออกแบบให้สามารถแปลงเป็นโคมไฟ (upcycle)ช่วยเพิ่มคุณค่าและประโยชน์ให้กับสินค้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้ามีความคุ้มค่าในการซื้อ
3. บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสามารถดึงดูดใจผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. การใช้ NFC ในบรรจุภัณฑ์ช่วยเพิ่มความโดดเด่นในตลาดและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมและการเชื่อมต่อดิจิทัล
จุดอ่อน (Weaknesses)
1. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากการใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่มีคุณภาพเพื่อให้บรรจุภัณฑ์สามารถนำไปใช้ซ้ำ รีไซเคิล และลดการใช้วัสดุ ซึ่งอาจทำให้ราคาขายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ทั่วไป
2. ความซับซ้อนในการออกแบบ การที่บรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบให้สามารถแปลงเป็นโคมไฟได้ อาจต้องใช้เทคโนโลยีและขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลต่อระยะเวลาและทรัพยากรในการพัฒนา
โอกาส (Opportunities)
1. การเติบโตของตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเป็นโอกาสสำคัญที่บรรจุภัณฑ์ชนิดนี้สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดและเติบโตได้
2. การปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและการส่งเสริมการรีไซเคิลในหลายประเทศ ช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและได้รับประโยชน์จากข้อกำหนดเหล่านี้
3. ความสามารถในการสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง บรรจุภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลายและสามารถอัพไซเคิลได้จะช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับสินค้า
ภัยคุกคาม (Threats)
1. การแข่งขันจากผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกกว่า บรรจุภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืนอาจต้องตั้งราคาสูงขึ้น ซึ่งอาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่ไม่ได้เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว อาจทำให้บรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นล้าสมัยหรือต้องลงทุนใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการผลิต
3. การรับรู้และการยอมรับจากผู้บริโภคที่แตกต่างกัน แม้ว่าผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งจะสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลหรือการอัพไซเคิล ทำให้ยากต่อการเข้าถึงทุกกลุ่มผู้บริโภค
การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
บรรจุภัณฑ์หลอดไฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้มีคุณสมบัติเด่นหลายประการ เริ่มต้นด้วยความยั่งยืน ซึ่งผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและย่อยสลายได้ เช่น กระดาษรีไซเคิลและพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ยังออกแบบให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) โดยเปลี่ยนเป็นโคมไฟได้หลังการใช้งาน เพิ่มมูลค่าการใช้งานที่มากกว่าการใช้งานเพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการลดปริมาณวัสดุ (Reduce) ด้วยการใช้วัสดุในปริมาณที่น้อยลงโดยไม่ลดประสิทธิภาพในการปกป้องสินค้า เพื่อลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ในขณะเดียวกัน บรรจุภัณฑ์นี้สามารถรีไซเคิล (Recycle) ได้ง่ายหลังจากการใช้งาน ช่วยลดการสร้างขยะและสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
บรรจุภัณฑ์ยังมีคุณสมบัติในการอัพไซเคิล (Upcycling) โดยออกแบบให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นโคมไฟได้ทันที ด้วยการใช้วัสดุที่ทนความร้อนและมีดีไซน์สวยงาม นอกจากนั้น ดีไซน์ที่ใช้งานง่าย (User-friendly Design) ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการเปิดและใช้งาน รวมทั้งมีการใช้ NFC สามารถลดความจำเป็นในการพิมพ์คู่มือหรือเอกสารต่างๆ ที่มากับผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลทั้งหมดผ่าน NFC ซึ่งช่วยลดปริมาณกระดาษและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมแนวคิดด้านความยั่งยืนทั้งยังคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักสุดท้ายนี้ บรรจุภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในด้านการใช้งาน แต่ยังเพิ่มมูลค่าด้วย ความคุ้มค่า (Value-Added Packaging) เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์แนวโน้มตลาดที่ให้ความสำคัญกับ การรักษาสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Trend) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคใส่ใจมากขึ้นในปัจจุบัน
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก (Primary Target Customers)
1. ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
1.1. กลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มองหาทางเลือกในการลดขยะและใช้วัสดุที่ยั่งยืน
1.2. มักจะเป็นกลุ่มที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมักสนับสนุนแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมนี้
1.3. อายุ: 25-45 ปี
1.4. อาชีพ: พนักงานบริษัท, ผู้ประกอบการ, นักสิ่งแวดล้อม
1.5. พฤติกรรม: ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตรารับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลหรือการอัพไซเคิล
2. ผู้ใช้ที่เน้นความคุ้มค่า
2.1. กลุ่มที่มองหาความคุ้มค่าจากการใช้สินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้มากกว่า 1 ครั้ง
2.2. การที่บรรจุภัณฑ์สามารถนำไปอัพไซเคิลเป็นโคมไฟได้จะเป็นจุดขายที่ทำให้พวกเขามองว่าสินค้ามีความคุ้มค่า
2.3. อายุ: 30-50 ปี
2.4. อาชีพ: พ่อแม่บ้าน, ผู้ประกอบธุรกิจ, ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายรอง (Secondary Target Customers)
1. บริษัทและองค์กรที่สนใจความยั่งยืน
1.1. บริษัทที่มองหาการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบโจทย์ CSR (Corporate Social Responsibility) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต
1.2. บริษัทที่ใช้หลอดไฟเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานหรือที่มีผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ที่เน้นการรีไซเคิลและการลดขยะ
2. ร้านค้าและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก
2.1. ร้านค้าที่เน้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบพิเศษ เช่น ของตกแต่งบ้าน หรือสินค้าไลฟ์สไตล์ ที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สามารถอัพไซเคิลได้ เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดลูกค้า
2.2. กลุ่มนี้จะสนใจสินค้าที่สามารถนำไปใช้งานอื่นได้อีก เช่น การนำบรรจุภัณฑ์ไปเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าในร้าน เช่น โคมไฟ แจกันใส่ดอกไม้
Insight
จากการลงสัมภาษณ์เก็บ Insight ของผู้บริโภคในพื้นที่พบว่า
Pain points ของแพ็กเกจจิ้งสำหรับหลอดไฟ ที่ผู้บริโภคพบเจอในกระบวนการใช้งาน มีดังนี้
1. ความเปราะบางและการปกป้องไม่เพียงพอ มีความเปราะบางและอาจแตกหักได้ง่ายระหว่างการขนส่งหรือจัดเก็บ หากบรรจุภัณฑ์ไม่สามารถป้องกันการกระแทกหรือแรงกดได้เพียงพอ ทำให้หลอดไฟที่ได้รับความเสียหายระหว่างขนส่ง ทำให้เกิดความสูญเสียทางการเงินทั้งในส่วนของผู้ขายและผู้ซื้อ
2. การใช้วัสดุที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลายบรรจุภัณฑ์ของหลอดไฟยังใช้ พลาสติกโฟมหรือพลาสติกแข็ง ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย ส่งผลให้เพิ่มปัญหาด้านขยะพลาสติกและทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งขัดกับแนวโน้มการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญมาก
3. การเปิดใช้งานที่ยากลำบาก บางครั้งบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุแข็ง เช่น พลาสติกแข็งที่ห่อหุ้มหลอดไฟ ทำให้ผู้ใช้พบความลำบากในการเปิดใช้งาน ซึ่งต้องใช้กรรไกรหรือเครื่องมือในการเปิด และอาจทำให้หลอดไฟเสียหายหรือเกิดการบาดเจ็บ สร้างความหงุดหงิดและไม่สะดวกในการเปิดใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ไม่ดี
4. การออกแบบที่ไม่น่าสนใจ บรรจุภัณฑ์บางครั้งไม่มีความน่าสนใจหรือมีการออกแบบที่ล้าสมัย ทำให้ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
เป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
การวิเคราะห์ SMART
1. Specific (เฉพาะเจาะจง) เป้าหมายคือการออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับหลอดไฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (reuse), ลดปริมาณวัสดุ (Reduce), รีไซเคิล (recycle), และนำไปอัพไซเคิล (upcycle) เป็นโคมไฟได้ โดยยังคงรักษาคุณสมบัติในการปกป้องสินค้าและให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแก่ผู้บริโภค
2. Measurable (วัดผลได้) การวัดผลสามารถทำได้โดยกำหนดตัวชี้วัด เช่น ลดการใช้วัสดุใหม่ในการผลิตลง 20%, เพิ่มอัตราการรีไซเคิลของบรรจุภัณฑ์ได้มากกว่า 50%, หรือเพิ่มจำนวนผู้ใช้ที่นำบรรจุภัณฑ์ไปใช้ซ้ำหรืออัพไซเคิลได้ถึง 30% ภายใน 1 ปี
3. Achievable (ทำได้จริง) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถอัพไซเคิลได้ เป็นเป้าหมายที่ทำได้จริง โดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น พลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ และการทำงานร่วมกับบริษัทด้านการออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์
4. Relevant (สอดคล้องกับความต้องการ) เป้าหมายนี้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดและความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงกฎระเบียบของภาครัฐที่ผลักดันให้ลดการใช้พลาสติกและส่งเสริมการรีไซเคิล
5. Time-bound (มีกรอบเวลา) การตั้งเป้าหมายให้บรรจุภัณฑ์ใหม่วางจำหน่ายในตลาดภายใน 12 เดือน โดยตั้งเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายจากบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ถึง 50% ของยอดขายบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายใน 2 ปี
กิจกรรมการตลาดและพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
1. การตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing)
การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยตรง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าจดจำและเข้าใจถึงคุณค่าของสินค้าได้ดีขึ้น
2. การใช้บรรจุภัณฑ์ในการส่งเสริมการตลาด
เพิ่มฟังก์ชั่นบรรจุภัณฑ์โดยการมีเทคโนโลยีเชื่อมต่อ คือ NFC ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น คำแนะนำการใช้งาน วิดีโอ หรือโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความใส่ใจและเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อระยะยาว
3. การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ในเชิงนวัตกรรม
พัฒนานวัตกรรมในการออกแบบที่ตอบโจทย์การใช้งาน สามารถใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชัน เช่น การแปลงเป็นโคมไฟ (upcycle) การใช้เป็นกล่องเก็บของ หรือแจกันดอกไม้ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และสร้างความจดจำที่ดีต่อแบรนด์
4. บรรจุภัณฑ์ที่สร้างความประทับใจแรกพบ
1. การออกแบบที่ดึงดูดสายตา เลือกใช้สี รูปทรง และกราฟิกที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคทันทีที่เห็น
2. การออกแบบที่สร้างประสบการณ์การเปิดใช้งานที่ดี บรรจุภัณฑ์ที่เปิดง่าย สร้างความสนุกสนานในการแกะออก ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความพิเศษ สร้างความประทับใจตั้งแต่การสัมผัสและเปิดใช้ครั้งแรก
5. การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)
1. การใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อโปรโมตสินค้า เช่น การใช้ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ การทำคอนเทนต์การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย การสร้างแคมเปญโซเชียลมีเดียที่เน้นการแชร์เนื้อหาจากลูกค้าผ่าน Hashtag
การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์
1. การวัดผลผ่านสื่อออนไลน์ (Digital Marketing Metrics):
1) การเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic): วัดจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และดูแนวโน้มการเข้าชมจากแหล่งที่มาที่ต่างกัน เช่น SEO, Social Media, หรือโฆษณา
2) อัตราการคลิก (Click-Through Rate - CTR): วัดจำนวนการคลิกบนโฆษณาหรือเนื้อหาที่ใช้ในการโปรโมตแบรนด์ ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจของผู้บริโภคต่อเนื้อหาที่นำเสนอ
3) การมีส่วนร่วมในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Engagement): ดูจากจำนวนการกดไลค์ การแชร์ และความคิดเห็นต่อโพสต์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย
4) อัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate): วัดจำนวนผู้เข้าชมที่ทำกิจกรรมสำคัญ เช่น การซื้อสินค้า หรือการสมัครสมาชิก
2. การวัดผลผ่านการปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
1) ยอดขายหน้าร้าน (In-Store Sales) วัดยอดขายจากจุดจำหน่ายต่าง ๆ เพื่อดูว่าสถานที่ใดหรือกลยุทธ์การตลาดใดส่งผลต่อยอดขาย
2) จำนวนลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition) การวัดจำนวนลูกค้าใหม่ที่มาจากแคมเปญการตลาดและกลยุทธ์ต่าง ๆ
3) ความถี่ในการซื้อซ้ำ (Repeat Purchase Rate): วิเคราะห์จำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำ ซึ่งสะท้อนถึงความพึงพอใจและความจงรักภักดีต่อแบรนด์(Brand Loyalty)
4) ROI (Return on Investment): คำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในการทำการตลาด เพื่อประเมินว่าการลงทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่
3. การวัดผลด้านแบรนด์
1) การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness): การวัดระดับการรับรู้หรือการจดจำแบรนด์ของกลุ่มเป้าหมาย สามารถทำได้ผ่านแบบสอบถามหรือการสำรวจในกลุ่มเป้าหมาย
2) ความสัมพันธ์กับแบรนด์ (Brand Affinity): วัดว่าผู้บริโภคมีความรู้สึกเชิงบวกต่อแบรนด์มากน้อยเพียงใด และมองแบรนด์ในเชิงคุณค่าและการเชื่อมโยงทางอารมณ์อย่างไร
3) ภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image): วิเคราะห์ว่าผู้บริโภคมองแบรนด์อย่างไร เช่น ภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อม คุณภาพ หรือความคุ้มค่า สามารถวัดได้ผ่านการสำรวจความพึงพอใจและความคิดเห็นจากลูกค้า