ซองรักษ์โลก

Team : NaturaPack
Member
Ms Pattama Marasri
1. การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในด้วย SWOT Analysis
จุดแข็ง (Strengths)
1. ความยั่งยืน (Sustainability)
การใช้วัสดุ casein plastic หรือ seaweed ซึ่งย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ รวมถึงกระดาษที่เคลือบด้วยพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้ช่วยส่งเสริมแนวทางการปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกที่เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก
2. ความเป็นมิตรต่อสุขภาพ (Health-Friendly)
วัสดุที่ทำจาก casein หรือ seaweed มาจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมีที่เป็นอันตราย ทำให้เหมาะกับบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มโดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภค
3. ส่งเสริมแบรนด์ (Brand Positioning)
แบรนด์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทาธุรกิจ
จุดอ่อน (Weaknesses)
1. ต้นทุนการผลิตสูง (High Production Costs)
วัสดุอย่าง casein หรือ seaweed อาจมีราคาสูงกว่าพลาสติกทั่วไป ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ทำให้สินค้ามีราคาแพงกว่าคู่แข่งที่ใช้พลาสติกแบบดั้งเดิม
2. ปัญหาความทนทาน (Durability Issues)
วัสดุที่ย่อยสลายได้ง่ายอาจไม่มีความทนทานเท่าพลาสติกแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ชื้นหรือเปียก ซึ่งอาจเป็นปัญหาในด้านการเก็บรักษาและการขนส่งสินค้า
3. ปริมาณการผลิตที่จำกัด (Limited Production Scalability)
หากวัสดุที่ใช้ยังไม่ได้มีการผลิตในปริมาณมาก การขยายการผลิตอาจประสบปัญหาเรื่องsupply
4. ข้อจำกัดด้านอายุการเก็บรักษา (Shelf-Life Limitations)
เนื่องจากวัสดุย่อยสลายได้ง่าย อาจทำให้บรรจุภัณฑ์เหล่านี้มีอายุการใช้งานสั้นเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป
โอกาส (Opportunities)
1. ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น (Increasing Consumer Demand)
ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำเสนอสินค้าที่สอดคล้องจึงมีโอกาสในการขยายตลาดได้กว้างขึ้น
2. กฎระเบียบที่ส่งเสริมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Regulatory Support for Sustainable Packaging)
หลายประเทศมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการลดขยะพลาสติกที่เคร่งครัด เช่น การห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
3. การพัฒนาเทคโนโลยีวัสดุ (Advancements in Material Technology)
การวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติกที่ทำจากพืชหรือสาหร่าย สามารถเพิ่มความทนทาน ลดต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพของบรรจุภัณฑ์
4. การเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รักษ์โลก (Partnership with Green Brands)
การร่วมมือกับแบรนด์ที่มีแนวคิดรักษ์โลกหรือผลิตผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสามารถช่วยขยายฐานลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
5. การสร้างความแตกต่างในตลาด (Market Differentiation)
การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกจะทำให้แบรนด์สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดที่ยังคงใช้บรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิม
ภัยคุกคาม (Threats)
1. การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น (Rising Competition)
ผู้ผลิตหลายรายเริ่มหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ทำให้การแข่งขันในตลาดบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
2. การรับรู้ของผู้บริโภค (Consumer Perception Issues)
ผู้บริโภคบางกลุ่มอาจยังไม่เชื่อมั่นในความทนทานและประสิทธิภาพของวัสดุที่ย่อยสลายได้ จึงอาจมีอุปสรรคในการยอมรับการใช้บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้
3. ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Risks)
การพึ่งพาวัสดุทางเลือก เช่น seaweed หรือ casein อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการจัดหาวัสดุ โดยเฉพาะในกรณีที่วัสดุเหล่านี้ไม่สามารถหาได้ง่ายหรือผลิตในปริมาณมาก
4. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ (Regulatory Changes)
แม้ว่ากฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมจะมีแนวโน้มในการสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ไม่แน่นอนหรือไม่ชัดเจนในบางประเทศอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตลาดในระยะยาวได้
5. ต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวน (Volatility in Raw Material Costs)
ราคาของวัสดุทางเลือกอาจมีความผันผวนตามฤดูกาลหรือปัจจัยภายนอกต่างๆ ทำให้ราคาต้นทุนไม่มีความแน่นอนและส่งผลต่อการตั้งราคาขายของผลิตภัณฑ์
2. การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
1. เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน
ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. สร้าง Brand Awareness ในกลุ่มผู้บริโภคที่รักสิ่งแวดล้อม
ขยายการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและมองหาทางเลือกที่ยั่งยืน
3. ให้ความรู้เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม
ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับวัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น casein plastic, seaweedและผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
4. ขยายผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ภาชนะที่ใช้ซ้ำได้ ฉลากย่อยสลายได้ หรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยหมักได้
5. ลดต้นทุนการผลิตโดยไม่กระทบต่อความยั่งยืน
6. ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนในขณะที่ยังคงรักษาความยั่งยืนไว้
7. ได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การรับรองว่าปราศจากพลาสติกหรือสามารถย่อยสลายได้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่แบรนด์และผลิตภัณฑ์
7. พัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการใช้งานและความสวยงาม
ปรับปรุงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีทั้งความสวยงามและสามารถใช้งานได้สะดวก เพื่อสร้างประสบการที่ดีให้ลูกค้า
8. ร่วมมือกับแบรนด์ที่มีแนวคิดเดียวกัน
สร้างพันธมิตรกับแบรนด์อื่นที่มีแนวคิด ศักยภาพ และ แบ่งปันค่านิยมด้านความยั่งยืนกลุ่มเป้าหมาย
ที่เสริมกัน
3. การกำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และ รายละเอียด insight ของกลุ่มเป้าหมาย
1. ผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้บริโภคปัจจุบันมีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล (CCMU) ซึ่งได้วิจัยการตลาดเกี่ยวกับ Voice of Green โดยเจาะกลุ่มคนรักษ์โลกที่เป็นชาวไทยจำนวน 1,252 คน พบว่า 74% ของผู้บริโภคมีโอกาสเลือกใช้สินค้าและพร้อมปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีต่อสิ่งแวดล้อม และมี 37.6% ที่มองหาสินค้า Eco เท่านั้น และพร้อมจ่ายเงินให้สินค้าหรือบริการนั้น
2. ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ
หลังยุค Covid-19 เทรนด์การรักษาสุขภาพเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจการออกกำลังกาย ทานอาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึง นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ออแกนิค หรือก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ปลอดสารเคมีทุกชนิดที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
3. กลุ่มผู้บริโภคในเมือง
คือผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาล และมีรายได้มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน คนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยกว่า 4 ล้าน ซึ่งส่วนมากอยู่ในช่วงอายุ 30-49 ปี มีการศึกษาดี และประกอบอาชีพเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้ประกอบการ หรือผู้มีอาชีพอิสระรับจ้างทั่วไป โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความรวดเร็ว โดยจะชื่นชอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานง่าย พกพาสะดวก และช่วยประหยัดเวลา และมักเลือกซื้อสินค้าที่สะดวกต่อการพกพา เช่น ขนม เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ง่ายต่อการบริโภค เน้นความสะดวกสบายของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ บรรจุภัณฑ์ที่พกพาง่าย เปิด-ปิดง่าย หรือออกแบบมาเพื่อการบริโภคแบบครั้งเดียว ซึ่งจะเหมาะสำหรับการพกพาไปทำงานหรือบริโภคในระหว่างเดินทาง
Customer insight
1. ข้อมูลของลูกค้าทั่วไป
- อายุ: 22-45 ปี
- เพศ: ผู้หญิง และ ผู้ชาย
- ระดับรายได้ : ระดับกลางถึงสูง
- อาชีพ : ผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่าง ๆ, ผู้ที่อาศัยในเมือง, ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ, นักสิ่งแวดล้อม, ผู้ปกครอง หรือผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย
- การศึกษา : จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า
- ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ : พื้นที่เมืองและชานเมือง โดยเฉพาะในเมืองที่มีการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
2. ข้อมูลเชิงพฤติกรรม
- ไลฟ์สไตล์ : ลูกค้ากลุ่มนี้มีไลฟ์สไตล์ที่กระตือรือร้น ใส่ใจสุขภาพ และมักจะไม่ค่อยมีเวลาว่าง มักจะมองหาแบรนด์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนและความสะดวกสบาย หรือ ผลิตภัณฑ์ที่สะดวกในการพกพาและใช้งานหรือบริโภคง่าย เช่น โยเกิร์ตพร้อมดื่ม และ วิตามินช็อต เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้
- ค่านิยม : มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม, ความยั่งยืน, สุขภาพ และนวัตกรรม เป็นค่านิยมหลักที่ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญ โดยมักจะมีความต้องการที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
4. การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
ออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ หรือเป็นการลดขยะโดยนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยเลือกใช้วัสดุดังนี้
- พลาสติกจากเคซีน (casein plastic)
สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (biodegradable) ทำให้เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าพลาสติกทั่วไป โดยพลาสติกจากเคซีน จะสกัดจากโปรตีนในนม และมีคุณสมบัติในการย่อยสลายตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันอาหารจากออกซิเจนได้ดีกว่าฟิล์มห่ออาหารทั่วไปซึ่งมีรูพรุนมากกว่า และไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จากงานของ นักวิจัยของอเมริกาจาก department of Agriculture (USDA) ได้มีการนำฟิล์มห่ออาหารที่ทำจากโปรตีนนมนี้ผสมกับเพคติน (Pectin)ที่มาจากส้มเพื่อให้วัสดุคงทนแข็งแรงไม่ละลายหายไปกับน้ำ โดยงานวิจัยนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนาก่อนที่จะนำออกมาใช้งานจริง และยังมีสามารในการขึ้นรูปได้เมื่อได้รับความร้อน ทำให้สามารถหล่อเป็นรูปทรงต่างๆได้ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ต่างๆ
- สาหร่าย (seaweed)
เป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (biodegradable) และสามารถสลายตัวได้ตามธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตราย ได้เช่นเดียวกับ casein plastic นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วทั้งในน้ำทะเลและน้ำจืด โดยไม่ต้องการที่ดินในการเพาะปลูก มีความคงตัวเฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเจริญเติบโต และ อุดมไปด้วยวิตามิน เส้นใย และแร่ธาตุมากมาย และที่สำคัญการเพาะเลี้ยงสาหร่ายมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ เนื่องจากช่วยในการดูดซับคาร์บอนและไม่ทำให้เกิดความเป็นกรดในมหาสมุทรหรือมลพิษ มีความสามารถในการป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ความชื้น และน้ำมัน ทำให้เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารชนิดต่างๆ
- กระดาษเคลือบพลาสติกรีไซเคิล
เป็นการผสมผสานข้อดีของทั้งพลาสติกและกระดาษ โดยทั้งกระดาษและพลาสติกที่ใช้เป็นวัสดุ recycle ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า สามารถช่วยลดปริมาณขยะให้น้อยลง ด้วยการลดการใช้ การนำกลับมาใช้ซ้ำ และการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนกว่าเมื่อเทียบกับพลาสติกทั่วไป นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันการซึมผ่าน โดยการเคลือบพลาสติกจะช่วยป้องกันความชื้นและไขมัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติกันซึมของกระดาษ ทำให้เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการปกป้องจากของเหลว น้ำมัน หรือความชื้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร ในด้านของความแข็งแรงและความทนทาน และเนื่องจากทั้งสองวัสดุเป็นวัสดุ recycle ต้นทุนการผลิตจึงจะต่ำกว่า เมื่อเทียบกับพลาสติก
5. กิจกรรมการตลาดและการพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
1. Sustainability หรือ ความยั่งยืน ซึ่งเป็นค่านิยมหลักขององค์กร
การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมของแบรนด์ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาดได้ โดยสามารถใช้โปรโมทความใส่ใจของแบรนด์ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ซึ่งสามารถระบุลงในฉลากสินค้า โฆษณา และการตลาดออนไลน์
2. การสร้างความแตกต่างด้วยการใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์
การใช้ casein plastic หรือ seaweed และ พลาสติกรีไซเคิล ช่วยส่งเสริมให้แบรนด์โดดเด่นในตลาดในฐานะผู้ผลิตที่ให้ความสำคัญในบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยจะเป็นจุดขายที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่งที่ยังใช้พลาสติกทั่วไป และยังช่วยดึงดูดลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
3. การสร้าง Brand Image ให้โดดเด่นกลายเป็นที่จดจำ
การใช้วัสดุที่มึความเป็นนวัตกรรม ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความทันสมัย เป็นผู้นำเทรนด์ และ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะดึงดูดทั้งผู้บริโภครายบุคคลและลูกค้าธุรกิจที่มองหาซัพพลายเออร์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งการได้รับการยอมรับจากสื่อและอุตสาหกรรมจะสามารถช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของแบรนด์ได้
4. การขยาย Brand Extensions
หรือการขยายสายผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการขยายแบรนด์ด้านลึก (Brand Depth) ที่เป็นการเพิ่มรายการสินค้าใหม่ (SKU) ในผลิตภัณฑ์เดิม ภายใต้แบรนด์เดิม จุดขายหลักเดิมโดยเมื่อแบรนด์ได้รับการยอมรับในด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนแล้ว จะสามารถขยายสายผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือการนำนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์อื่นๆมาใช้ เพื่อสร้างให้เป็นแบรนด์ที่มีแนวคิดเรื่องความยั่งยืนอย่างครบวงจร
6. การวัดผลทางการตลาดและแบรนด์
Brand Measurement
จะมุ่งเน้นไปที่คุณค่าของแบรนด์ที่เกิดขึ้นในสายตาและการรับรู้ของผู้บริโภค (Brand Equity) โดยเฉพาะในด้านความยั่งยืนและนวัตกรรม เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ที่เน้นไปที่การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการวัดแบรนด์จะพิจารณาว่าการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์นี้ส่งผลอย่างไรต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม
1. การรับรู้แบรนด์ของลูกค้า (Brand Awareness)
ความยั่งยืนเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ การใช้วัสดุอย่าง casein plastic และ seaweed สำหรับบรรจุภัณฑ์จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ในการวัดการรับรู้แบรนด์ จะต้องวัดว่าผู้บริโภคสามารถจดจำได้หรือไม่ว่าแบรนด์มีความโดดเด่นในด้านบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการวัดผลจะทำได้โดยการใช้แบบสอบถามหรือกลุ่มวิจัยเพื่อประเมิน
2. คุณค่าแบรนด์ (Brand Equity)
การพัฒนาวัสดุที่สามารถย่อยสลายและรีไซเคิลได้ช่วยสร้างคุณค่าของแบรนด์ โดยอิงจากความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถวัดผลได้โดยการวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าผ่านการรีวิว การพูดถึงแบรนด์ในสื่อสังคมออนไลน์ และการทำแบบสอบถาม
3. ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
บรรจุภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืนมักจะดึงดูดลูกค้าที่มีจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถเพิ่ม Brand Loyalty ได้ โดยจะวัดผลจากอัตราการซื้อซ้ำ และ ความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ช่วยส่งเสริมความจงรักภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ได้อย่างไร
4. ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection)
ความเชื่อมโยงทางอารมณ์สามารถเกิดได้จากการตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า การสร้างให้เกิดแรงกระตุ้นบางอย่าง การสร้างแรงบันดาลใจ โดยแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมักจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางจิตใจของผู้บริโภค โดยจะวัดผลจากการใช้ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดความภักดีของลูกค้า การมีส่วนร่วมทางอารมณ์ และประเมินว่ากลุ่มลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์มากแค่ไหน
Marketing Measurement
จะเน้นที่การประเมินความสำเร็จของแคมเปญที่เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นค่านิยมของแบรนด์ และ เป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญ
1. ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน)
คำนวณ ROI โดยการเปรียบเทียบต้นทุนของแคมเปญการตลาดกับการเพิ่มขึ้นของยอดขาย ที่เกิดจากการโปรโมทบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. CAC (ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า)
เนื่องจากแบรนด์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนมักจะดึงดูดลูกค้าใหม่ๆเสมอ การวัดต้นทุนในการหาลูกค้า จะใช้การวิเคราะห์งบประมาณการตลาดที่ใช้ในการโปรโมทบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืน หากต้นทุนในการหาลูกค้าลดลงหลังจากการโปรโมทด้านสิ่งแวดล้อม แสดงว่าความพยายามด้านความยั่งยืนและค่านิยมของแบรนด์มีความสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
3. อัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate)
การติดตามอัตราการซื้อสินค้าของผู้บริโภคหลังจากเห็นแคมเปญการตลาดที่เน้นแสดงความยั่งยืนในบรรจุภัณฑ์ จะสามารถวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะแคมเปญที่เน้นที่ประโยชน์ของวัสดุที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ เช่น ผลดีที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
4. การมีส่วนร่วม (Engagement Metrics)
การติดตามการมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มที่ใช้โปรโมทบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นวิธีสำคัญในการวัดประสิทธิภาพของการตลาด โดยจะติดตามยอดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ และการมีส่วนร่วมโดยรวมในโพสต์ที่แสดงถึงนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์อย่างพลาสติกเคซีนหรือสาหร่าย โดยการที่มengagementสูง จะบ่งบอกว่าผู้บริโภคสนใจและเห็นคุณค่าในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมของแบรนด์