วอลเปเปอร์ตกแต่งบ้านจากบรรจุภัณฑ์กราโนล่า
Team : Granola
Member
Mrs Nichakron Phaisunjai
Mrs Warinthon Tonsri
1.การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
Market Analysis
ตลาดกราโน่ล่าเติบโตต่อเนื่องทั่วโลกเนื่องจากกระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แนวโน้มนี้เพิ่มความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปลอดสารเคมี และบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 4-6% ในช่วงปี 2022-2028 เนื่องจากกราโนล่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความสะดวกและประโยชน์ทางโภชนาการ ทั้งในกลุ่มคนรักสุขภาพและคนที่ต้องการอาหารที่ง่ายต่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์กราโนล่าก็เพิ่มมากขึ้น เช่น กราโนล่าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% กราโนล่าออร์แกนิก หรือกราโนล่าที่มีส่วนผสมจากซูเปอร์ฟู้ด (superfood) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจในอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ผู้ที่สนใจอาหารคลีน และครอบครัวที่หันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น
Pestel
การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจของกราโนล่าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถทำเป็นวอลเปเปอร์ได้เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่สนใจในเรื่องสุขภาพ การตกแต่งห้องและยังช่วยลดขยะ โดยใช้เครื่องมือ PESTEL ดังนี้:
1. ปัจจัยทางการเมือง (Political)
· นโยบายสนับสนุนสิ่งแวดล้อม: รัฐบาลในหลายประเทศมีการออกนโยบายเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลาสติก ดังนั้น กราโนล่าที่ใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐในรูปแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการส่งเสริมการขาย
- 2. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ (Economic)
· ภาวะเศรษฐกิจโลก: ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมักจะมีราคาสูงกว่า หากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ ผู้บริโภคอาจมองหาสินค้าที่ราคาย่อมเยามากขึ้น อาจส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์กราโนล่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมลดลง
· ต้นทุนการผลิต: การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถใช้ซ้ำได้ อาจมีต้นทุนที่สูงกว่าบรรจุภัณฑ์ทั่วไป แต่การที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะให้คุณค่ากับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อาจช่วยชดเชยต้นทุนดังกล่าวได้
3. ปัจจัยทางสังคม (Social)
-ความตระหนักเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผลิตภัณฑ์กราโนล่าที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและมีบรรจุภัณฑ์ที่ลดขยะ จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจในความยั่งยืนและสุขภาพได้มากขึ้น
- การตกแต่งบ้านที่มีความเฉพาะตัว: กลุ่มคนที่สนใจในการตกแต่งห้องหรือสร้างพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน อาจเห็นคุณค่าในผลิตภัณฑ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์และการใช้งานได้หลากหลาย
4. ปัจจัยทางเทคโนโลยี (Technological)
- นวัตกรรมในการผลิตบรรจุภัณฑ์: การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลและนำมาใช้ตกแต่งได้จะเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ นอกจากนี้ เทคโนโลยีการพิมพ์ที่สวยงามและทนทานยังช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ได้
5. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental)
- การลดขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้งานซ้ำ (รีไซเคิล) จะช่วยลดปริมาณขยะจากการทิ้งบรรจุภัณฑ์ ทำให้สินค้านี้เข้ากับแนวคิด “zero waste” และช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจในความยั่งยืน
-ความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโอกาสให้ผลิตภัณฑ์กราโนล่าเน้นความยั่งยืนในการผลิต การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการลดการปล่อยคาร์บอน
ความต้องการลดการใช้พลาสติก: บรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกที่สามารถรีไซเคิลและย่อยสลายได้จะตอบสนองต่อกระแสการลดการใช้พลาสติก ซึ่งเป็นที่ต้องการในหลายประเทศ
6. ปัจจัยทางกฎหมาย (Legal)
- กฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม: การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น โดยไม่เสี่ยงต่อการถูกปรับหรือได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
มาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร: การผลิตกราโนล่าต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านอาหาร เช่น อย. ซึ่งอาจมีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน
- เครื่องหมายสิ่งแวดล้อม: การขอรับรองจากองค์กรที่รับรองด้านสิ่งแวดล้อม เช่น เครื่องหมายการค้า "Green Label" หรือ "Eco Label" จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้า
สรุป: ผลิตภัณฑ์กราโนล่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ซ้ำได้สอดคล้องกับแนวโน้มในปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืน สุขภาพ และการลดขยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในตลาดที่ให้คุณค่าในด้านนี้้
2.การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาแบรนด์
1. เพิ่มยอดขาย 20% ภายในสิ้นปี2567
2. ทำให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์และกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำ
3. ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยมุ่งเน้นการเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่หรือขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าถึง
4. การสร้างแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
3.กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและรายละเอียด insight ของกลุ่มเป้าหมาย
Segmentation (การแบ่งกลุ่มตลาด):
1. กลุ่มตามพฤติกรรม (Behavioral Segmentation):
• ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ผู้ที่ชอบสินค้า eco-friendly และสนใจผลิตภัณฑ์ที่ลดการสร้างขยะ ใช้ซ้ำได้ เช่น คนที่เน้นการซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
• ผู้ที่ชื่นชอบ DIY และการตกแต่งบ้าน: คนที่สนใจการทำงาน DIY และต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในการสร้างสรรค์วอลเปเปอร์หรือการตกแต่งห้อง
• ผู้บริโภคที่ชอบสินค้าหลายฟังก์ชัน: คนที่มองหาความคุ้มค่าในสินค้า ที่ไม่เพียงแค่เป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร แต่ยังสามารถใช้ตกแต่งบ้านได้
2. กลุ่มตามประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation):
• วัย: กลุ่มอายุ 25-45 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและการออกแบบบ้าน รวมถึงมีกำลังซื้อที่เพียงพอ
• รายได้: กลุ่มรายได้ระดับกลางถึงสูงที่ยินดีจ่ายเพื่อสนับสนุนสินค้ารักษ์โลกและนวัตกรรมที่สามารถใช้ซ้ำได้
• อาชีพ: คนทำงานที่มองหาความสะดวกและความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน รวมถึงกลุ่มที่ทำงานในสายอาชีพออกแบบหรือครีเอทีฟที่สนใจเรื่องการตกแต่งและการใช้สินค้าที่มีดีไซน์
3. กลุ่มตามจิตวิทยา (Psychographic Segmentation):
• คนที่ใส่ใจสุขภาพและรักธรรมชาติ: คนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ การบริโภคอาหารที่ดีต่อร่างกายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น คนที่ชอบทานกราโนล่าและเลือกซื้อสินค้าที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อธรรมชาติ
• กลุ่มคนที่เน้นสไตล์และความสร้างสรรค์: ผู้ที่มีความสนใจในงานออกแบบ สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และชอบสร้างบรรยากาศภายในบ้านด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร
Target
Target หลัก (Primary Target):ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและรักสุขภาพ
• กลุ่มนี้คือผู้ที่ทานกราโนล่าเป็นประจำและมีความใส่ใจในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พวกเขามักจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและสามารถลดขยะได้ เน้นการบริโภคอย่างยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้หรือนำไปรีไซเคิล พวกเขาจะมองเห็นคุณค่าในบรรจุภัณฑ์กราโนล่าที่สามารถใช้เป็นวอลเปเปอร์เพื่อลดขยะได้
• ลักษณะของกลุ่มนี้: คนที่ใส่ใจในสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อายุประมาณ 25-45 ปี รายได้ระดับกลางถึงสูง ชอบซื้อสินค้าเพื่อสนับสนุนแนวคิด eco-friendly
Target รอง (Secondary Target):คนที่สนใจการตกแต่งบ้านและงาน DIY
• กลุ่มนี้เน้นไปที่ผู้ที่ชอบตกแต่งบ้านและทำงาน DIY พวกเขาชื่นชอบการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนของใช้ในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นของตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์ พวกเขาจะมองเห็นความสร้างสรรค์และประโยชน์ในบรรจุภัณฑ์กราโนล่าที่สามารถใช้เป็นวอลเปเปอร์ได้ โดยเฉพาะถ้ามีดีไซน์ที่สวยงามและเหมาะสำหรับตกแต่ง
• ลักษณะของกลุ่มนี้: คนที่ชอบตกแต่งบ้านหรือทำงาน DIY อายุ 18-40 ปี รายได้ระดับกลางขึ้นไป มักมีความสนใจในงานศิลปะและการออกแบบ
รายละเอียดอินไซต์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (25-45 ปี):
ไลฟ์สไตล์เร่งรีบ: ชื่นชอบกราโนล่าเพราะเป็นอาหารเช้าและของว่างที่สะดวก รวดเร็ว และมีประโยชน์
ใส่ใจสุขภาพ: เลือกทานกราโนล่าเพื่อสุขภาพที่ดี มีพลังงานตลอดวัน
รักษ์โลก: สนใจผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้
ความหลากหลาย: ชอบลองรสชาติใหม่ๆ และรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่แปลกใหม่
แบรนด์โปรด: Diamond Grains ครองใจอันดับหนึ่ง ตามมาด้วย Nestlé และ Grainey
รูปแบบที่ชอบ: กราโนล่าแบบถ้วยและถุงใหญ่ได้รับความนิยมสูงสุด
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์: สนใจกราโนล่าที่มีบรรจุภัณฑ์สามารถแปลงเป็นวอลเปเปอร์ได้ถึง 60% เชื่อว่าจะช่วยลดปริมาณขยะได้ถึง 41.9%
สรุป: ลูกค้ากลุ่มอายุ 25-45 ปี เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของกราโนล่า เน้นความสะดวก รวดเร็ว และสุขภาพดี พร้อมเปิดใจรับนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนี้ จะเป็นการสร้างความแตกต่างและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างแน่นอน
4.การออกแบบบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ
รายละเอียด:แปลงบรรจุภัณฑ์ใหม่โดยการทำหน้ากล่องกาโนล่าเป็นภาพวอลเปเปอร์เพื่อส่งเสริมการลดขยะและเพิ่มคุณค่าในการใช้ซ้ำอย่างสร้างสรรค์ โดยบรรจุภัณฑ์ถูกออกแบบให้ส่วนหน้าของกล่องสามารถใช้เป็นวอลเปเปอร์สำหรับตกแต่งห้องหรือบ้านได้ โดยมีรอยประสำหรับแกะออกอย่างง่ายดาย
เหตุผลสำคัญในการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์:
ลดขยะสิ่งแวดล้อม: แทนที่จะทิ้งกล่องหลังการใช้งาน ผู้บริโภคสามารถนำหน้ากล่องไปใช้ประโยชน์ได้อีกครั้งในรูปแบบของการตกแต่งห้อง
เพิ่มมูลค่าในการใช้ซ้ำ: ไม่เพียงแต่เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นวอลเปเปอร์ที่ช่วยให้บ้านดูสวยงาม
ส่งเสริมความยั่งยืน: วัสดุที่เลือกใช้คือกระดาษลูกฟูก ซึ่งไม่เพียงแข็งแรงและน้ำหนักเบา แต่ยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ: ด้วยการพิมพ์ลายที่สวยงามบนบรรจุภัณฑ์ จะช่วยดึงดูดผู้บริโภคและยังสามารถนำไปตกแต่งบ้านได้อีกด้วย
ส่วนที่เหลือจากบรรจุภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยส่งเสริมแนวคิดด้านความยั่งยืนในทุกมิติของผลิตภัณฑ์
5. กิจกรรมการตลาดและการพัฒนแบรนด์์ผ่านบรรจุภัณฑ์
SWOT Analysis
จุดแข็ง (Strengths):
• ความยั่งยืน (Sustainability): ลดขยะโดยการนำบรรจุภัณฑ์มาใช้ใหม่ ซึ่งดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
• การใช้งานที่หลากหลาย (Multi-functional): ผสมผสานบรรจุภัณฑ์อาหารและการตกแต่งภายใน เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
• นวัตกรรม (Innovation): สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร
• ความสวยงาม (Aesthetic appeal): ดึงดูดทั้งผู้บริโภคที่ทานอาหารและผู้ที่สนใจการออกแบบตกแต่ง
จุดอ่อน (Weaknesses):
• ต้นทุน (Cost): ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากบรรจุภัณฑ์มีสองฟังก์ชัน
• ความซับซ้อน (Complexity): การออกแบบและวัสดุที่ท้าทายมากขึ้นเพื่อให้บรรจุภัณฑ์ทนทานพอที่จะใช้เป็นวอลเปเปอร์
โอกาส (Opportunities):
• เทรนด์ความยั่งยืนที่เติบโต (Growing sustainability trend): ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
• ตัวเลือกการปรับแต่ง (Customization options): ให้ผู้บริโภคเลือกดีไซน์ที่หลากหลาย ทำให้มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคลมากขึ้น
• ความร่วมมือ (Partnerships): ร่วมมือกับศิลปินหรือดีไซเนอร์ในการออกแบบลวดลายเฉพาะตัว
• การให้ความรู้ (Education): โอกาสในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการลดขยะผ่านวิธีการที่สร้างสรรค์
อุปสรรค (Threats):
• การลอกเลียนแบบจากคู่แข่ง (Competitor imitation): แบรนด์อื่นอาจนำแนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกมาใช้เช่นกัน
ความสนใจในตลาดที่จำกัด (Limited market appeal): คนที่ไม่สนใจโครงการ DIY หรือการตกแต่งห้องอาจมองไม่เห็นคุณค่าของบรรจุภัณฑ์นี้
TOWS Matrix
กลยุทธ์เชิงรุก (SO)
- เน้นความหลากหลายในการใช้งานของบรรจุภัณฑ์เพื่อดึงดูดทั้งผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
กลยุทธเชิงแก้ไข (WO)
-สร้างวิดีโอเกี่ยวกับวิธีการใช้บรรจุภัณฑ์เป็นวอลเปเปอร์เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนที่สนใจการ DIY และความยั่งยืน ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าของการใช้ซ้ำและลดขยะ
กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST)
-ใช้การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบจากคู่แข่ง โดยวางตำแหน่งบรรจุภัณฑ์ให้เป็นสินค้าที่เป็็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเน้นการออกแบบ
กลยุทธ์เชิงรับ (WT)
-เน้นการทำการตลาดที่บอกเล่าเรื่องราวของกระบวนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความพิเศษและต้นทุนที่สูงของผลิตภัณฑ์ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุ้มค่ากับราคา และป้องกันไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบง่าย ๆ กับสินค้าจากคู่แข่ง
กิจกรรมการตลาดและการพัฒนแบรนด์์ผ่านบรรจุภัณฑ์
"Art for Earth: Design the Future"
เป็นการประกวดที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจในศิลปะและการออกแบบเข้าร่วมสร้างสรรค์ผลงานเพื่อโลกอนาคต โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเน้นแนวคิดด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การประกวดจะจัดขึ้นทุก 3 เดือน โดยในแต่ละเดือนจะมีหัวข้อที่แตกต่างกัน เพื่อให้วอลเปเปอร์ที่ออกแบบมาในแต่ละครั้งมีเอกลักษณ์และความโดดเด่น
ผู้ชนะการประกวดจะได้รับเงินรางวัลและผลงานจะถูกนำไปใช้เป็นวอลเปเปอร์บนบรรจุภัณฑ์ของทางแบรนด์ ซึ่งส่งเสริมการลดขยะและสนับสนุนการนำบรรจุภัณฑ์ไปใช้ซ้ำ และยังให้โอกาสแก่คนที่สนใจในศิลปะอีกด้วย
"Scan & Learn, Create & Earn"
กิจกรรมที่ลูกค้าสามารถสแกน QR Code บนบรรจุภัณฑ์เพื่อเชิญชวนลูกค้ามาร่วมแชร์ภาพถ่ายการตกแต่งห้องโดยใช้วอลเปเปอร์จาดบรรจุภัณฑ์กราโนล่า โดยลูกค้าสามารถส่งภาพการตกแต่งบ้านหรือห้องต่างๆ แล้วอัปโหลดลงบนเว็บไซต์ของแบรนด์เพื่อสะสมแต้ม "Green Points" รูปภาพที่ลูกค้าแชร์จะปรากฎบนไทม์ไลน์สาธารณะพร้อมให้คนอื่นให้คะแนนและคอมเมนต์ได้ด้วย ลูกค้าที่สะสมแต้มครบตามกำหนดสามารถแลกรับผลิตภัณฑ์พิเศษ เช่น กราโนล่ารุ่นลิมิเต็ด
มีข้อมูลเรียนรู้วิธีการนำมาใช้ซ้ำ การลดขยะและการรีไซเคิลภายในเว็บไซต์อีกมากมาย
และยังมีหน้าต่างสำหรับส่งผลงานประกวดภาพวอลเปเปอร์กับทางแบรนด์ในเดือนต่อๆไป
Inspire & Reuse :เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นบันดาลใจ ลดขยะด้วย DIY
สร้างสรรค์วิดีโอใน Instagram และ TikTok ที่แสดงวิธีการใช้บรรจุภัณฑ์กราโนล่าเป็นวอลเปเปอร์ เพื่อนำเสนอแนวคิดการใช้ซ้ำอย่างสร้างสรรค์และลดขยะ โดยการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบงาน DIY และรักษ์โลก
6.KPI สำหรับการวัดผลกิจกรรมการตลาดและการพัฒนาแบรนด์ผ่านบรรจุภัณฑ์
1. กิจกรรม “Art for Earth: Design the Future”
- จำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวด: วัดจากจำนวนผู้เข้าร่วมการประกวดในแต่ละเดือน ตั้งเป้าหมายที่ 50 ผลงานต่อเดือน
- อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate): วัดจากยอดไลค์ คอมเมนต์ และการแชร์เกี่ยวกับการประกวดบนโซเชียลมีเดีย Engagement rate 5% ขึ้นไป
- จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์/แพลตฟอร์มการประกวด: จำนวนคนที่เข้าชมหน้าเว็บไซต์เพื่อดูรายละเอียดหรือโหวตให้กับผลงาน เพิ่มขึ้น 20% ทุกเดือน
- จำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ผลงานที่ชนะ: จำนวนบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตโดยใช้วอลเปเปอร์ที่ออกแบบจากผู้ชนะ 4 ผลงานต่อปี
- ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม (Satisfaction Score): เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามหลังการประกวด เช่น ความพึงพอใจระดับ 4 ขึ้นไปจาก 5 คะแนน
2. กิจกรรม “Scan & Learn, Create & Earn”
- จำนวนการสแกน QR Code: วัดจากจำนวนครั้งที่ลูกค้าสแกน QR Code บนบรรจุภัณฑ์ 10,000 ครั้งต่อเดือน
- จำนวนการอัปโหลดรูปภาพการตกแต่งห้อง: วัดจากจำนวนรูปภาพที่ลูกค้าอัปโหลดบนเว็บไซต์ 500 รูปภาพในช่วง 6 เดือนแรก
- การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ในไทม์ไลน์สาธารณะ: วัดจากจำนวนไลค์ คอมเมนต์ และการโหวตในไทม์ไลน์ของเว็บไซต์ Engagement rate 7% ขึ้นไป
- จำนวน Green Points ที่ถูกแลกเปลี่ยน: วัดจากจำนวนผู้ใช้ที่สะสมและแลก Green Points เพื่อรับรางวัลพิเศษ 20% ของผู้ใช้ทั้งหมดที่สแกน QR Code
- จำนวนผู้เรียนรู้จากเว็บไซต์: วัดจากจำนวนการเข้าชมหน้าเพจที่เกี่ยวกับการรีไซเคิลและการใช้ซ้ำบนเว็บไซต์ 1,000 การเข้าชมต่อเดือน
3. กิจกรรม “Inspire & Reuse”
- จำนวนวิดีโอที่ถูกสร้างและแชร์: วัดจากจำนวนวิดีโอ DIY ที่แบรนด์เผยแพร่ผ่าน Instagram และ TikTok 10 วิดีโอต่อเดือน
- ยอดวิวและการมีส่วนร่วมใน Instagram และ TikTok: วัดจากจำนวนยอดวิว แชร์ คอมเมนต์ และไลค์ที่วิดีโอได้รับ ยอดวิว 100,000+ ต่อวิดีโอ และ Engagement rate 6% ขึ้นไป
- จำนวนผู้ติดตามใหม่บนโซเชียลมีเดีย: วัดจากจำนวนผู้ติดตามใหม่ที่ได้จากการเปิดตัวแคมเปญวิดีโอ เพิ่มผู้ติดตามใหม่ 5,000 คนในช่วง 3 เดือนแรก
- อัตราการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness): เก็บข้อมูลจากการสำรวจเกี่ยวกับการจดจำและรู้จักแบรนด์หลังการปล่อยแคมเปญ การรับรู้แบรนด์เพิ่มขึ้น 15% ในกลุ่มเป้าหมาย DIY และรักษ์โลก)
- การใช้งานบรรจุภัณฑ์เป็นวอลเปเปอร์จริง: วัดจากจำนวนครั้งที่ลูกค้าทดลองใช้บรรจุภัณฑ์เป็นวอลเปเปอร์และแชร์ลงในโซเชียลมีเดีย 100 โพสต์ที่มีการแท็กแบรนด์ภายใน 6 เดือน